ภาพถ่ายแสน ธรรมยศ เมื่ออายุ 20 ปี ในปีค.ศ.1934/พ.ศ.2477 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากเวียดนาม
ปัญญาชนสยาม...นามว่า ส.ธรรมยศ
โดย ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
เคยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชน (ลำปาง) ราวๆปี 2548
1.
“...ขอให้เรามาร่วมกันวิเคราะห์ชีวิตของคนไทยผู้นั้น หรือชีวิตของ “พระเจ้ากรุงสยาม” อย่างเสรีตรงไปตรงมา ไม่ใช่อย่างนักการทูต ไม่ใช่อย่างนักพงศาวดารไม่ใช่อย่างพ่อค้า เร่ขายความฉลาด หากเปิดเผยทุกด้านทุกมุมอย่างนักค้นคว้าความเป็นจริงที่จริงที่สุดเท่าที่จะสามารถค้นคว้าได้ในยุคนี้...”
ข้อความนี้ปรากฏอยู่ใน Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม ผลงานชิ้นสุดท้ายของ ส.ธรรมยศ ที่คลอดมา ณ โรงพยาบาลวัณโรคกลาง เมืองนนท์ ที่ๆเดียวกับที่เขาใช้พักฟื้น เช่นเดียวกับที่ๆเขาลาโลกใบนี้ไปในพ.ศ.2495 ปีเดียวกับ ปีที่หนังสือพระเจ้ากรุงสยามปรากฏสู่บรรณพิภพ
แสน ธรรมยศ คือชื่อจริง(ต่อไปจะเรียกว่า แสน) ถือกำเนิด เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2457 ณ ตำบลปงพระเนตรช้าง จ.ลำปาง(ปัจจุบันยังปรากฏชื่อ ตรอกปงพระเนตรช้าง ที่เชื่อมระหว่างถนนทิพย์ช้าง กับ ถนนตลาดเก่า ใกล้กับสำนักงานไปรษณีย์ลำปาง) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงเรียนเคนเน็ตแม็คเคนซี และไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ พระนคร จนมีโอกาสไปเรียนมหาวิทยาลัยเอี๋ยง จั้ง ทั่น ที่ฮานอย เวียดนาม
แสน ผู้อายุสั้น(อายุเพียง 38ปี) เกิดในยุคที่ประเทศกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ จากยุคบุกเบิกของรถไฟ(สายเหนือมาถึงลำปางเมื่อ พ.ศ.2459) อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และยังมีประสบการณ์ได้ร่ำเรียนปรัชญาจาก เวียดนามอีกต่างหาก จึงมีหัวคิดที่ก้าวหน้า ชอบถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ มีความสามารถเป็นนักปรัชญา นักเขียน นักปาฐกถา แต่อย่างไรก็ตาม แสน ก็ถูกวิพากษ์กลับว่า เป็นประเภทเอาหลักไม่ได้ เป็นคนเจ้าอารมณ์ (โดย สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์) เป็นคนรีบร้อนเกินไป ไม่ได้ศึกษาให้กว้างขวางเสียก่อน (โดย วิทย์ ศิวะศริยานนท์ นักวรรณกรรม) ไม่ใช่คนเก่งประวัติศาสตร์...ไม่เรียนซ้ายขวามาเปรียบเทียบกัน เพื่อหาข้อยุติที่ถูกต้อง(โดย ลาวัณย์ โชตามระ นักเขียนสารคดี)
แต่ด้วยความกล้าหาญ และสำนวนที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองของเขา จึงได้รับฉายาว่า ราชสีห์แห่งการเขียน ดั่งในหนังสือพระเจ้ากรุงสยาม อันเป็นหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์รัชกาลที่4 อย่างตรงไปตรงมา ข้อความหลายหน้า อาจทำให้นักอ่านหัวอนุรักษ์สะดุ้ง แต่ถ้าอ่านด้วยใจเป็นธรรมแล้ว แสนมิได้มีเจตนาที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด
มิเพียงเท่านั้น ความก้าวหน้าของแสน ยังปรากฏในข้อเสนอพัฒนาประเทศต่อรัฐบาลด้วย เช่น การเสนอให้เปิดการเรียนการสอนวิชาปรัชญาขึ้น ที่เป็นการศึกษาเพื่อยกระดับความคิดในการรับใช้และสร้างสรรค์สังคมด้วยซ้ำ ขณะที่วิชาดังกล่าวแม้ในปัจจุบันจะเปิดสอนกันเกร่อแต่ก็มิได้เปิดหูเปิดตาร่วมกับสังคมให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่อย่างใด บางที่เป็นเพียงวิชาพื้นฐานทั่วไป ปราศจากความสำคัญไปก็มี มีอ้างกันว่าเคยเสนอผู้ใหญ่ในรัฐบาลตั้งสภาการค้นคว้าแห่งชาติ(แสน ธรรมยศ,2547:310) เสนอให้สร้างชาติด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับที่อังกฤษและญี่ปุ่นได้ทำสำเร็จมาแล้ว(ซึ่งอาจจะล้มเหลวที่เมืองไทยก็ได้) เห็นว่าการนำเข้าความรู้เป็นเพียงแค่ชั้นสอง ไม่สามารถจะสร้างขึ้นมาเองได้(แสน ธรรมยศ,2547:327)
สำนักพิมพ์มติชน ได้จัดพิมพ์ครั้งที่2 เพื่อฉลอง วาระครบรอบ 2 ศตวรรษแห่งพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2547 แสนถึงได้เกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
2.
แม้ร่างกายสังขารของแสนจะแตกสลาย แต่ก็หลงเหลือคมเขี้ยวของราชสีห์ที่ฝากไว้กับหนังสือ และตำราต่างๆจำนวนมาก (เมื่อเทียบกับอายุการทำงานของแสน) อาจเป็นไปได้ว่า ความคิดความเห็นของเขาจะไม่ได้เป็นที่ยอมรับของสังคม ผลงานและชื่อเสียงก็หายเงียบไปกับกาลเวลา
ชื่อเสียงของแสนปรากฏอีกครั้งเมื่อบรรยากาศ 14 ตุลาคม 2516 แต่ก็อยู่ใต้เงาของศรีบูรพา และจิตร ภูมิศักดิ์ หนังสือพระเจ้ากรุงสยามกลายเป็นหนังสือหายาก จนมีคนเข้าใจผิดว่ากลายเป็นหนังสือต้องห้ามไป!!(แสน ธรรมยศ,2547:(9)) พอหลัง 6 ตุลาคม 2519 จึงเริ่มมีการรวบรวมกันอย่างไม่เป็นทางการโดยคนไทยในอเมริกา และไม่ได้แพร่หลายในเมืองไทย
ผลงานของแสน ได้รับการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่ ปรัชญา ศิลปวรรณคดี งานวิจารณ์ เรื่องสั้น และประเภทอื่นๆจำนวน 30 ชิ้น(จากโลกหนังสือ) แต่จะมิกล่าวในรายละเอียดในที่นี้
งานของ แสน ถือเป็นเล่มแรกๆที่พยายามจะอธิบายงานทฤษฎีและวรรณคดีวิจารณ์ ซึ่งความใหม่ที่เป็นการนำเข้าความคิดจากนักวรรณกรรมทางตะวันตก ถือว่าเป็นเกียรติคุณอย่างปฏิเสธมิได้ แม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง จนถูกกล่าวว่า ไม่ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นหนังสือวิชาการทีเดียว บางทีแสนอาจจะถ่ายทอดตัวตันทั้งหมดลงไปในข้อคิด งานเขียนอันหลากหลายของเขา ดังปรากฏในผลงานเรื่องสั้นที่มีลีลา และสำนวนอันโดดเด่น ขอยกตัวอย่างข้อความจากเรื่องสั้น เรื่อง วิญญาณที่ท่องเที่ยวไป ดังนี้
“…แต่เราแต่งงานกันไม่ได้หรอกนงราม มันผิดทฤษฎี ฉันต้องการแต่เพื่อนและความรัก ฉันกลัวที่สุดว่า ถ้าแต่งงานแล้ว ลูกของฉันจะโง่กว่าฉัน นี้ไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าเด็กโง่นั้น จะไปเพิ่มจำนวนคนโง่แก่ฝูงมนุษย์ ฉันไม่ใช่คนฉลาดเท่าไหร่ก็จริง…แต่ลูกของเรา เธอเชื่อหรือว่ามันจะผ่าน 2 มหาวิทยาลัย เหมือนแม่มัน ขอให้เรารักกันอย่างนี้ อาณาจักรจุมพิต เป็นจักรวาลที่ฉันบูชา จุมพิตคือศาสนา ฉันรักเธอมากที่สุดเหมือนกัน…”
และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต แสนก็มิได้ลงหลักปักฐานกับใครจริงๆ ตายท่ามกลางความอ้างว้างของคนโสด
บุคลิกของแสนนั้น ถือว่าเป็นบุรุษผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง หยิ่งในศักดิ์ศรี ปากจัด นิยมสนทนาวิสาสะกับผู้คน บางท่านให้ความเป็นว่าเป็นนักปาฐกถาฝีปากเอก เป็นผู้บุกเบิกในวงการขีดๆเขียนๆ นี่เป็นบุคลิกในเชิงยกย่อง แน่นอนดังที่กล่าวมาแล้วว่า ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญก็ย่อมจะมีผู้คนกล่าวไว้เช่นกัน ดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนที่ผ่านมา
หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ประทับแน่นด้วยชีวประวัติของคนๆหนึ่ง โดยเฉพาะหน้ากระดาษนี้มิได้หมายเพียงจะเล่าขานถึง ตัวตน และบุคคลที่เป็นปัจเจก ที่ขาดความสัมพันธ์กับใครในโลกเท่านั้น แต่หวังใจอย่างยิ่งที่ให้เห็นถึงบทบาทที่คนหนึ่งคนได้บุกเบิกถางทางให้คนรุ่นหลังอย่างเต็มกำลัง ซึ่งก็เป็นสิทธิของเราที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง และสังคม ว่า เราจะทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดีเพียงใด ไม่ทำแค่เพียงรอคอยให้ใครบางคน กระโจนเข้ามาพร้อมกับม้าขาวและกำชะตาของสังคม บงการชีวิตของพวกเราทั้งหมด โดยที่เราได้แต่มองตาปริบๆ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยแต่เพียงน้อย ก็ตาม
3.
แสน มิเป็นเพียงชาวลำปางทั่วๆไป แต่ยังถือว่าตัวเขาเกิดในราชตระกูล ณ ลำปาง อันเป็นเชื้อสายทางมารดาที่ชื่อ เกี๋ยงแก้ว บิดาชื่อ ปัญญา ได้เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพ่อวงศ์ เจ้าแม่จันทร์เที่ยง คำฝั้นศิริ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า แสนจบจากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ที่เขาเล่าว่า เมื่ออายุ 10 ขวบได้เป็นบรรณารักษ์ของโรงเรียนบุญวาทย์ฯ!!! เขายังได้ร่ำเรียนที่โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซีที่เป็นโรงเรียนคริสเตียนในลำปาง อันนับว่าเป็นโรงเรียนแนวหน้าในสมัยนั้น
ความสัมพันธ์กับบ้านเกิดของเขา จังหวัดลำปาง ยังปรากฏอยู่ในจดหมายที่บรรยายได้ชัดเจนว่า “...ผมเป็นคนลำปางที่ชาวลำปางหลายร้อยคนกล่าวว่า ลืมลำปาง ซึ่งมีเค้า เพราะผมจากลำปางไปตั้งแต่เด็กๆ เป็นหนุ่มอยู่กรุงเทพฯกับเมืองนอก ทำงานในก.ท. 14 ปี เพิ่งมาอยู่ลำปาง 10 เดือน ก็เมื่อ 29 สิงหา คือตอนป่วยหนัก ปีกลายนี้ แต่ไม่เคยเนรคุณ สถานศึกษาเดิม...ถ้าตาย ก็เสียดายที่จะทำอะไรให้บ้านลำปางบ้าง แต่ยังไม่ได้ทำ...”(แกะจากลายมือจดหมาย ในโลกหนังสือ)
ไม่เท่านั้นยังฝากฝังอยู่ในเรื่องสั้นและบทความด้วย ได้แก่ "รำพึงมาที่ลำปาง" (ลงใน บางกอก พ.ศ.2489) ประวัตินครลำปาง (ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2492 เป็นบรรณาการในงานหล่อพระพุทธรูปประจำหอพระธรรมและเทศน์มหาชาติชาดก ณ วัดเมืองสาส์น) ในประวัติฯมิวายที่จะฝากบทวิจารณ์พอแสบๆคันๆ ที่มุ่งวิจารณ์บ้านเมืองไว้ว่า
“...วิเคราะห์ในฐานะเป็นเมืองชั้นเอก ถนนหนทางในนครลำปางจัดว่าทราม ฝุ่นขิ้นคลุ้งเป็นเมฆหมอก ปอดเมืองหรือสวนสาธารณะแห่งเดียวไม่มี บ้านเรือนและอาคารจัดสร้างกันโดยไม่รู้จักความงาม สถานศึกษาชั้นสามัญเจริญขึ้นมาก แต่อาชีวะศึกษาซึ่งควรขยายอย่างกว้างขวางยังล้าหลัง โรงพยาบาลของรัฐแพ้ โรงพยาบาลคณะมิชชั่น(โรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด-ผู้เขียน) สถาบรรณอื่นๆ อันดำเป็นสำหรับเมืองเอกยังขาดอีกมากมาย เช่น โรงงานผลิตน้ำประปา หอสมุด และหอปาฐกสาธารณะ วิทยาลัยอาชีวะชั้นสูง ฯลฯ...”
ชีวิตช่วงหนึ่งของแสน ปรากฏในหนังสืออนุสรณ์ใสงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ดุสิต พานิชพัฒน์ ลูกลำปางท่านหนึ่ง กล่าวถึงแสนว่า “…นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับคุณสงวน สุจริตจันทร์ ซึ่งเป็นญาติกัน เปิดสอนภาษาอังกฤษที่ถนนสายกลาง (ทิพย์ช้าง) ลำปาง และต่อมาก็ได้ร่วมกับคุณแสน ธรรมยศ และคุณบุญเรียบ ศรีอ่อน ตั้งโรงเรียน GRAMMAR SCHOOL เป็นโรงเรียนกลางคืนสอนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และคำนวณ…”(ระบุว่าอยู่ในช่วงปีพ.ศ.2476)
แม้ว่า สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏลำปางจะเคยยกย่อง แสน ว่าเป็น ปัญญาชนนครลำปาง ในคราว 90 ปี ชาตกาลของเขา แต่ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขาไม่เพียงพอที่จำกัดอยู่แค่ลำปางเสียแล้ว ชีวิตและผลงานที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมทั้งการที่สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์ผลงานชิ้นสุดท้าย และชิ้นที่เขาภูมิใจที่สุด คือ Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม เป็นครั้งที่2 เมื่อปีที่แล้ว ควรจะเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า แสน ธรรมยศ คือ ปัญญาชนสยาม คนของประเทศ คนของแผ่นดินนี้ได้อย่างสมบูรณ์
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
"90 ปี ชาตกาล ปัญญาชนนครลำปาง ส.ธรรมยศ" ใน กาสะลอง จุลสารสำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบัน
ราชภัฏลำปาง ปีที่3 ฉบับที่6 กันยายน-ธันวาคม 2546
โลกหนังสือ 7 (เมษายน 2521)
ส.ธรรมยศ. Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม,กรุงเทพฯ:มติชน.2547.
ส.ธรรมยศ. ประวัตินครลำปาง พิมพ์เป็นบรรณาการในงานหล่อพระพุทธรูปประจำหอพระธรรมและเทศน์มหาชาติชาดก ณ วัดเมืองสาส์น นครลำปาง 1-5 ธันวาคม 2492, ลำปาง?.2492.
ส.ธรรมยศ. เอแลน บาลอง และเรื่องสั้นที่สรรแล้ว, กรุงเทพฯ:ดอกหญ้า.2531.
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ ดุสิต พาณิชพัฒน์ ป.ช., ป.ม., ท.จ.ว.
...................
อย่างไรก็ตาม พบว่า ได้มีการพิมพ์ Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม อีกครั้งในปี 2551 เ่ช่นเดียวกับ ชีวิตและผลงานของ ส.ธรรมยศ ที่เขียนโดย อสิธารา ก็ถูกมาตีพิมพ์ใหม่ในปีเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงการกลับมาให้ความสนใจอีกครั้งกับปัญญาชนสยามผู้นี้
ผลงานของ ส.ธรรมยศ (ส่วนหนึ่ง)
ก.ปรัชญา
บทนำแห่งปรัชญาศาสตร์ (Introduction to Philosophy) ตีพิมพ์ พ.ศ. 2485
ประวัติศาสตร์ปรัชญา อภิปรัชญา ศาสตร์ปรัชญา ปรัชญาฝ่ายปฏิบัตินิยม
ข. ประวัติศาสตร์
REX SIAMEN SIUM หรือ พระเจ้ากรุงสยาม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2495
ประวัตินครลำปาง
ลานนาไทยกับประวัติศาสตร์
ดร. ดิลกแห่งสยาม ดิลกนเทวราช
ค.ศิลปวรรณคดี
ศิลปแห่งวรรณคดี พิมพ์ครั้งแรก กันยายน พ.ศ. 2480
ปรัชญากับการกวี ตีพิมพ์ครั้งหลังในนิตยสารคุณหญิง เมษายน พ.ศ. 2516
เรื่องของวรรณคดี ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์
ง.งานวิจารณ์
ศิลปะแห่งการวิจารณ์ พิมพ์ลงในหนังสือ "แม่ยมรำลึก ที่จังหวัดแพร่ ปี พ.ศ. 2508
ปรัชญาของท่านเทียนวรรณ "ก.ศ.ร. กุหลาบ"
ชีวิตและงาน ชีวิตและงานศรีปราชญ์
ความปราชญ์ของสุนทรภู่
วิจารณ์งานของ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
วิจารณ์งานของหลวงวิจิตรวาทการ
จ. เรื่องสั้น
แมงดา พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารยุคทองรายเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
หลงรูปสุดาพรรณ พิมพ์ครั้งแรกในเดลิเมล์วันจันทร์ พ.ศ. 2495
คำสาปวีนัส พิมพ์ครั้งแรกใน ปิยะมิตร พ.ศ. 2493 เสาชิงช้า (รวมเรื่องสั้น)
เอแลน บาลอง และเรื่องสั้นที่สรรแล้ว, กรุงเทพฯ:ดอกหญ้า.2531.
ฉ. ประเภทอื่น ๆ
วิถีแห่งสันติภาพถาวร
ตำราเรียนอังกฤษวิธีลัดใน 90 ชั่วโมง
เทนนิสโต๊ะ ตีพิมพ์ครั้งหลังในนิตยสารคุณหญิง เมษายน พ.ศ. 2509
คู่มือวัณโรค
อ่านเรื่องของ ส.ธรรมยศ เพิ่มเติมได้ที่
ผู้สื่อข่าว
on Lampang :
เปิดโลกลำปาง
เสาร์ 20
มิถุนา 52
1 comment:
ผม ชื่อ เกรียงศักดิ์ ธรรมยศ อายุ 24 ปี
ซึ่งผมตั้งใจที่จะค้นหา นามสกุลผม และเจอประวัติของ ท่าน แสน ธรรมยศ เลยอ่านประวัติเลยน่าสนใจ เพราะมีนามสกุลเหมือนกัน และมีอะไรที่เหมือนๆ กัน ยังเคยบวช วันเดือนเกิด แม่ผม นามสกุล ฝั้นปิมปา ซึ่ง มี ฝั้น เหมือน คําฝั้นศิริ ตอนนี้ ผมทั้งเรียนและทํางานอยู่ที่ ก.ท.ม มา 6 ปี แล้ว ไม่ค่อยได้กลับบ้านสักเท่าไหร่ น่าสนใจดี ขอบคุณมากครับ ที่ทําให้ผม ได้รู้จัก ต้นตระกูล ธรรมยศ
Post a Comment