tag:blogger.com,1999:blog-58127637754506223832024-02-20T08:10:05.515+07:00on Lampang articleเปิดโลกลำปาง ผ่าน "สุ้มเสียงจากบทความ"warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.comBlogger39125tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-58068483086135050292009-09-06T15:51:00.002+07:002009-09-06T16:10:11.988+07:00ฟองหลี...อาคารพื้นถิ่น "ตลาดจีน" ลำปาง : บทความเก่าในปี 2543<div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; white-space: pre; "><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;"><b>ฟองหลี...อาคารพื้นถิ่น "ตลาดจีน" ลำปาง</b></span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: medium;">โดย กิติศักดิ์ เฮงษฎีกุล</span></div><div><br /></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">จากหนังสือ </span><b><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">อาษา </span></b><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ฉบับที่ 10:43 ตุลาคม พศ.2543</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">จัดทำเมื่อ 1 มีนาคม พศ.2544<br />นำมาจากเว็บบอร์ด</span></div><div><a href="http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=winyou&id=20">http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=winyou&id=20</a></div><div> </div><div>เรือนพื้นถิ่นของจังหวัดลำปาง ในย่านการค้าเก่าริมฝั่งแม่น้ำวังที่เรียกว่า "ตลาดจีน"นั้นมีลักษณะพิเศษ อันเป็นเอกลัษณ์ นับเป็นกลุ่มอาคารที่มีทั้งศิลปะและประโยชน์ใช้สอยรวมอยู่ด้วยเรือนพื้นถิ่นกลุ่มดังกล่าว ก่อสร้างขึ้นในยุคของจังหวัดลำปางที่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราชในนาม "นครลำปาง" โดยมีเจ้าผู้ครองนคร ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองและมีอำนาจเต็มในการปกครองโดยที่รัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงต้นรัชกาลที่ 5ไม่ได้มากำกับการบริหารและการปกครอง เพียงแต่ต้องมีพันธะทางการเมือง ที่จะต้องปฏิบัติในฐานะประเทศราชกล่าวคือ<br /><br /></div><div>1. ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองหรือเจ้านายชั้นขุนนาง จะต้องเข้าเฝ้ากราบบังคมทูล</div><div>และรับการแต่งตั้งที่กรุงเทพฯ</div><div>2. เจ้าเมืองต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ อันได้แก่ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง และสิ่งของอื่น ๆ ตามกำหนด 3</div><div>ปีต่อครั้ง</div><div>3. ต้องส่งกองทัพมาช่วยรบเมื่อเกิดศึกสงคราม</div><div><br /></div><div>สภาพทั่วไปในเมืองนครลำปาง ในยุคเป็น<b>ประเทศราช </b>การคมนาคมอาศัยทางน้ำคือแม่น้ำวังเป็นหลัก</div><div>โดย<b>ทิศเหนือ</b>สามารถถ่อเรือขึ้นไปถือ<b>เมืองแจ้ห่ม</b> และ<b>เมืองวังเหนือ</b> ส่วนทาง<b>ทิศใต้</b>ก็สามารถล่องเรือถึง<b>เมืองระแหง</b> แล้วเดินทางบกอีกประมาณ 7 วันก็ถึง<b>เมืองมะละแหม่ง</b> รวมถึงการล่องเรือไปยัง<b>กรุงเทพ</b>ด้วย แต่ใช้เวลาเดินทางระยะเวลานานเนื่องจากมีเกาะแก่งในแม่น้ำมาก ผู้คนใช้แม่น้ำแทนถนน ในการเดินทางและทำมาค้าขาย ส่วนการเดินทางโดยทางบก มักเป็นการเดินทางในช่วงสั้น ๆใช้ม้า ช้าง และเกวียนเป็นพาหนะ<br /><br />เมื่อครั้ง<b>สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุ</b>ธเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงศึกษาสถานการณ์บ้านเมืองในเมืองนครลำปางเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2448พระองค์ก็ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานไปยัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ 14/70 ลงวันที่ 4</div><div>กุมภาพันธ์ ร.ศ. 124 ความว่า<br /><br /><div>"….ออกจากแพร่เดินลัดไปนครลำปาง ตามทางเป็นป่าดงโดยมาก มีบ้านผู้คนห่าง ๆ แต่มีป่าไม้อยู่มาก</div><div>บริบูรณ์ด้วยไม้สัก ไม้ตะเคียน ครั้นใกล้เมืองนครลำปางเองแล้ว จึงมีบ้านเรือนหนาแน่นขึ้น</div><div>บ้างตามเหล่านี้ไร่นาไม่ใคร่มี เพราะฉะนั้นที่นครลำปางอยู่ข้างขัดสน ตัวเมืองนครลำปางเองก็ติดแน่นหนา</div><div>อยู่ภายในกำแพง ด้านใต้แห่งลำน้ำ (วัง) ด้านเหนือมีบ้านเรือนมากก็จริง แต่ยังมีเป็นป่า ๆ ปนอยู่</div><div>ด้านใต้นั้นดูดี ด้วยมีห้างแลร้านอยู่มาก คณะเงี้ยวที่นี่ใหญ่และทำการค้าขาย มีร้านเล็ก ๆ</div><div>ขายผ้าผ่อนแพรพันสั่งจากมะระเมงโดยมาก (มะละแหม่ง, ผู้เขียน) ที่เป็นห้างใหญ่ ๆ มีห้างพม่า</div><div>จีนบ้าง…"<br /><br /></div><div><div>สถานการณ์ภายหลังจากที่อังกฤษยึดพม่าทั้งประเทศได้อย่างเด็ดขาดในปี พ.ศ. 2428 อังกฤษได้ดำเนินกิจการป่าไม้ขึ้นอย่างเป็นทางการและเป็นล่ำเป็นสันในพม่า ในระยะต่อมาภายหลังสนธิสัญญาเบาริ่งพ่อค้าอังกฤษและคนในบังคับจึงเกิดความสนใจที่จะเดินทางเข้ามาในดินแดนหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือ</div><div>ทำได้โดยง่ายและสะดวกยิ่งกว่าการติดต่อระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือ<br /><br />นอกจากนี้ยังสามารถขออนุญาตทำป่าไม้ได้โดยตรงกับเจ้าผู้ครองนครโดยไม่ต้องผ่านทางกรุงเทพฯ ส่วนเงินตราที่ใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้าก็ใช้เงิน"รูเปีย" ของอังกฤษที่นำมาใช้ในอินเดียและพม่า โดยที่รัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯยังไม่สามารถแก้ไขปัญหา การขาดแคลนปริมาณเงินปลีก โดยเฉพาะเงินหนึ่งสตางค์ และเหรียญเงินบาทได้จึงทำให้ประชาชนคุ้นเคยและยอมรับใช้เงินรูเปียในการชำระหนี้กันกว้างขวางมากทำให้มีเงินรูเปียในการชำระหนี้กันกว้างขวางมากทำให้มีเงินรูเปียเข้ามาหมุนเวียนในระบบ</div><div>เศรษฐกิจหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือเป็นจำนวนมาก<br /><br /></div><div><div>บริษัทของอังกฤษที่เข้ามาทำป่าไม้ในเมืองนครลำปางในสมัยนั้น ได้แก่</div><div>1. BOMBAY BURMAH TRADING CORPORATION LIMTED โดยเข้ามาตั้งสาขาที่เมืองนครลำปาง ตั่งแต่ พ.ศ. 2434</div><div>2. BRITISH BORNEA COMPANY LTD.</div><div>3. SIAM FOREST COMPANY LTD.</div><div>4. L.T.LEAONOWENS COMPANY LTD.</div><div>5. EAST ASIATIC COMPANY LTD.<br /><br /><div>เมื่อบริษัทอังกฤษเข้ามาทำป่าไม้ ได้นำเอาคนในบังคับ ซึ่งได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เช่นเดียวกับชาวอังกฤษ อันได้แก่ ชาวพม่า ชาวมอญ ชาวไทยใหญ่ (เงี้ยว) ชาวขมุ เข้ามาร่วมทำงานป่าไม้ด้วยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากในขณะนั้น ราษฎรในเมืองนครลำปาง ยังต้องสังกัดมูลนายในระบบไพร่ ระบบทาส และไม่มีความชำนาญในการทำป่าไม้ ส่วนชาวพม่าที่มีความรู้ภาษาอังกฤษ และมีการศึกษาดี จะได้รับจ้างเป็นผู้ควบคุมงาน การใช้แรงงานในป่าจะเป็นพวกไทยใหญ่และขมุ การทำป่าไม้ของชาวอังกฤษจึงเป็นแรง ผลักดันให้ชาวพม่ามีอิทธิพลทางเศรษฐกิจขึ้นมา โดยชาวพม่าได้เริ่มทำการค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการนำเข้ามาจากเมืองมะละแหม่ง และรับซื้อสินค้าจากพ่อค้าเร่ที่เดินทางมาจากยูนานรวมทั้งสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ ขึ้นในย่าน "ตลาดจีน"</div></div><div><br /><div>ในระหว่างช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 (พ.ศ. 2434- พ.ศ. 2450) นครลำปางจากลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยรวมทั้งมีการทำป่าไม้เพื่อการส่งออก และการค้าขายจึงเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ในฐานะเมืองท่าพาณิชย์ที่ติดต่อค้าขายทางไกลข้ามประเทศระหว่าง พม่า และยูนาน ซึ่งอยู่ตอนใต้ของจีนและยังเป็นเมืองท่าสำคัญในการล่องไม้ซุงสัก และการค้าขายทางเรือระหว่างภาคเหนือกับกรุงเทพฯและประเทศตะวันตก โดยมี "ตลาดจีน" ริมฝั่งแม่น้ำวังเป็นผ่านการค้าที่คึกคักและสำคัญที่สุดในขณะนั้น<br /><br /><div>เมื่อกลุ่มบริษัทอังกฤษเข้ามาทำกิจการป่าไม้ในนครลำปางได้ก่อสร้างอาคารที่ทำการและบ้านพักโดยนำศิลปวิทยาการทางตะวันตกเข้ามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและก่อสร้าง ส่วนใหญ่อยู่ที่ท่ามะโอซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำวัง นอกจากนี้ชาวพม่าที่เข้ามาค้าขายและสามารถสะสมทุนจนมีฐานะมั่นคั่งได้ก่อสร้างอาคารเพื่อเป็นที่พักและเป็นที่ค้าขายและมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่กลุ่มพ่อค้าชาวพม่า ดังนั้นในย่าน "ตลาดจีน" จึงมีพ่อค้าพม่า จีน ไทยใหญ่ และอินเดีย โดยมีพ่อค้าชาวพม่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดแต่กลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีและพึ่งพากัน เช่น อาคารของพ่อค้าจีนบางหลัง ก็มีส่วนของสถาปัตยกรรมพม่าตกแต่งผสม สันนิษฐานว่าคงใช้ช่างและแรงงานฝีมือของชาวพม่าในการก่อสร้าง </div></div><div><br /><div><br /></div><div>ลักษณะสถาปัตยกรรมกลุ่มอาคารตลาดจีนและอาคารที่ทำการซึ่งสร้างขึ้นโดยคนต่างชาตินี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเรือนพื้นถิ่นของชาวนครลำปางในขณะนั้น โดยส่วนของชนชั้นมูลนายซึ่งเป็นเจ้าเมืองและเครือญาติ รวมทั้งผู้มีฐานะดีในเมืองจะนิยมปลูกบ้านอยู่อาศัยด้วยไม้สัก ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในภูมิภาคนี้ ลักษณะบ้านจะเป็นเรือนใต้ถุนสูง มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา มีชานแล่นระหว่างเรือน บริเวณบ้านก็จะกว้างขวางร่มรื่น</div><div>มีการปลูกต้นไม้ทั้งไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม และไม้ล้มลุก ส่วนใหญ่ใช้บริโภคได้ ส่วนอาคารร้านค้าที่ตลาดจีนนั้น มีการนำอิฐมาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งในขณะนั้น ชาวเมืองนครลำปาง จะใช้อิฐในการก่อสร้างศาสนสถาน เช่น วัด และกำแพงเมืองไม่นิยมเอาอิฐมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนโดยทั่วไปยกเว้นอาคารศาลาเค้าสนามหลวง เป็นต้น<br /><br />ส่วนชนชั้นไพร่และทาส ที่เป็นราษฎรทั่วไป ก็จะปลูกสร้างบ้านในลักษณะเรือนเครื่องผูกใต้ถุนสูง มุงด้วยหญ้าคา มีไม้ไผ่เป็นองค์ประกอบโครงสร้างหลัก การที่นำอิฐมาใช้ในการก่อสร้างอาคารตลาดจีนนี้ ทำให้อาคารมีความแข็งแรง ทนทาน และหลาย ๆ หลังที่ยังไม่ถูกรื้อถอน สามารถคงสภาพส่วนใหญ่ไว้ได้ดีจนถึงปัจจุบัน<br /><br /><div>โดยที่ตลาดจีนตั้งอยู่ริมแม่น้ำวัง จึงได้รับอุทกภัยในฤดูน้ำหลากทุก ๆ ปี จนกระทั่งมีการก่อสร้างเขื่อนกิ่วลมในปี พ.ศ. 2508 อุทกภัยจึงเบาบางลง อาคารในย่านตลาดจีนส่วนที่เป็นโครงสร้างไม้ บ้านไม้ มีการรื้อถอนเปลี่ยนสภาพก่อสร้างใหม่ตามประโยชน์ใช้สอยเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าการพาณิชย์ยังปรากฎเรือนไม้ทรงหลังคาปั้นหยาและเรือนไม้ทรงหลังคามะนิลาเพื่อการพักอาศัยโดยเฉพาะอยู่หลาย ๆ หลัง<br /><br /><div>เมื่อทางรถไฟสายเหนือมาถึงนครลำปาง ในปีพ.ศ. 2458 การคมนาคมทางน้ำค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป</div><div>"ตลาดจีน" จึงค่อย ๆ ลดบทบาทในด้านศูนย์กลางการค้าขาย มาเป็นเพียงย่านที่อยู่อาศัยในที่สุด "ตลาดจีน" จึงกลายเป็นเพียงย่านที่อยู่อาศัยในที่สุด "ตลาดจีน" จึงกลายเป็นตำนานเล่าขานเรื่องราวที่ผ่านกาลเวลาและประวัติศาสตร์ความเป็นไปของนครลำปางในช่วงอันรุ่งโรจน์ที่สุดช่วงหนึ่ง ส่วนอาคารเก่าแก่ส่วนที่สร้างด้วยอิฐและปูนซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่ามาแต่อดีตนั้น ยังคงยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น อาคารฟองหลี อาคารคมสัน อาคารหมองหง่วยสิ่น อาคารตึกแดง อาคารบ้านบริบูรณ์ อาคารบ้านสินานนท์ เป็นต้น อาคารเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นอาคารพื้นถิ่นประวัติศาสตร์ที่เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านี้ ช่วยเสริมสร้างให้สภาพแวดล้อมของเมืองนครลำปางมีคุณค่า มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น นับเป็นมรดกวัฒนธรรมที่สวยงาม แปลกตา มีคุณค่าในด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอาคารพื้นถิ่นย่านการค้า "ตลาดจีน" เก่าดังกล่าว ในที่นี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงเฉพาะอาคาร"ฟองหลี" ก่อนเท่านั้น ส่วนอาคารอันทรงคุณค่าหลังอื่น ๆ จะได้กล่าวในโอกาสต่อไป</div></div></div></div><div><br /><div><br /></div><div>อาคาร "ฟองหลี" นี้ ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในหนังสือแบบ แผนบ้านเรือนไทยในสยามของสำนักพิมพ์เมืองโบราณ พิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2531 โดย น.ณ ปากน้ำ ในหน้าที่ 98 ได้บรรยายว่าอาคารสองชั้นเป็นตึก ประดับลวดลายแบบขนมปังขิง ชั้นล่างของอาคารประดับศิลปะลายฉลุ แบบขนมปังขิงฝีมือประณีตมาก เช่น ลายท้าวแขนตรงมุมหัวเสา และลายช่องลมโค้งประตู ซึ่งแปลกไปกว่าที่อื่น<br /><br /><div>ต่อมาอาคาร "ฟองหลี" ได้ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น "อิสรภาพ" ฉบับวันที่ 21-31 สิงหาคม 2537 ด้วยสาเหตุ หน้าจั่วอาคารด้านทิศตะวันตกได้พังทลายลงมา โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ชาวบ้านใกล้เคียงที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นได้ร้องเรียนต่อทางเทศบาลและทางจังหวัด ถึงอันตรายที่ส่วนอื่นของอาคารจะถล่มลงมาอีก หน่วยงานเทศบาลนครลำปางและจังหวัดจึงได้มีหนังสือเตือนให้ทำการซ่อมแซมถึง 2 ครั้ง ต่อมาหนังสือจากจังหวัดฉบับสุดท้ายได้สั่งให้รื้อถอนภายใน 7 วัน เจ้าของในขณะนั้นมีความคิดที่จะซ่อมแซมอาคาร "ฟองหลี" ไว้แต่ต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมาก จึงได้มาปรึกษากับผู้เขียน ผู้เขียนได้ตระหนักถึงคุณค่าของอาคารดังกล่าว จึงตกลงรับที่จะอนุรักษ์ไว้ เพราะถ้าหากรื้อถอนอาคารหลังนี้ออกไป "ตลาดจีน" ก็จะขาดสายใยที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันไปอีกสิ่งหนึ่ง ดังเช่น อาคาร "จีนบุญ" ที่อยู่ติดกัน</div><div>ปัจจุบันเหลือเพียงภาพถ่าย และภาพสเก็ต ดังที่สแดงเท่านั้น<br /><br /><div>หลังจากการทำนิติกรรมเสร็จสิ้น ผู้เขียนตกลงรับซื้อโฉนด 3 คูหาจากจำนวนทั้งหมด 4 คูหา โดยเจ้าของขณะนั้นได้ร่วมอนุรักษ์ไว้ 1 คูหา<br /><br /></div><div><div><b>ประวัติอาคาร </b></div><div><br /></div><div>เมื่อเริ่มทำการบูรณะ ผู้เฒ่าผู้แก่ในย่านตลาดจีนหลาย ๆ ท่านได้มาดูและสนทนาเล่าเรื่องเก่า ๆให้ฟัง ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะศึกษาค้นคว้าประวัติอาคาร ผู้เขียนจึงได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากกองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ อีกมากมาย ทำให้ทราบประวัติความเป็นมาของอาคารว่า ผู้สร้างอาคารหลังนี้คือ "จีนฟอง" หรือเจ้าสัวฟอง ซึ่งได้รับสัมปทานป่าไม้ ป่าห้วยเพียน</div><div>ห้วยหลวงและป่าแม่อิฐ นอกจากนี้ยังได้เป็นเจ้าภาษี นายอากร ฝิ่นและสุรา ของเมืองนครลำปางอีกด้วย</div><div>เจ้าสัวฟอง จึงมีฐานะดีมากที่สุดในบรรดาชาวจีนในเมืองนครลำปาง</div><div><br />ในขณะนั้นปรากฏหลังฐานในใบบอกบัญชีรายชื่อเจ้านายข้าราชการและราษฎร พ่อค้าที่บริจาคทรัพย์</div><div>เพื่อซื้อข้าวสารแจกจ่ายราษฎรที่อดอยาก ในปี พ.ศ. 2444 ให้แก่ราษฎรในตำบลห้วยฮี ทุ่งฝาย หนองยาง น้ำนองนาก่วม ลำปางหลวง เมืองเมาะ พิไชย บรรดาภาคเอกชนในสมัยนั้น โดยมีชื่อยู่ในลำดับแรก ได้บริจาคเป็นเงิน 50 รูเปีย เท่ากับเจ้าบุญวาทย์ วงศ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง โดยมีผู้บริจาคเป็นเจ้านายและข้าราชการ 23 ราย เป็นพ่อค้าชาวจีน ชาวพม่า ชาวไทยใหญ่ ชาวต้องสู้ รวม 111 ราย รวมเป็นเงินบริจาค 638 รูเปีย 16 อัฐ (กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธ์ ราชเลขานุการที่ 122/6574 ลงวันที่ 5 ธันวาคม ร.ศ. 119 (พ.ศ. 2444)<br /><br />เป็นที่สังเกตว่าภาคเอกชนที่ร่วมบริจาคเงินนั้นล้วนแต่เป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวจีนและพ่อค้าที่เป็นคนในบังคับ (subject) ของอังกฤษทั้งสิ้น ไม่มีคนพื้นเมืองในท้องถิ่นที่ทำการค้าเลย<br /><br /><div>ระหว่างการบูรณะอาคารผู้เขียนได้พบตราของบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่า บนหัวเสาไม้ของอาคารซึ่งบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าเข้ามาตั้งสาขาในเมืองนครลำปาง เมื่อปี พ.ศ. 2434 จึงสันนิษฐานว่า อาคาร"ฟองหลี" น่าจะสร้างช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2434- พ.ศ. 2444 อายุครบถ้านับถึงปัจจุบันก็มีอายุกว่าหนึ่งศตวรรษ</div><br /></div><div><div><br /></div><div>เจ้าสัวฟอง มีความสนิทสนมกับเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต (พ.ศ. 2400- พ.ศ. 2465) ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย (พ.ศ. 2440- พ.ศ. 2465) เจ้าบุญวาทย์ฯ ได้ตั้งนามสกุลให้กับเจ้าสัวฟองว่า "ฟองอาภา" หลังจากเจ้าสัวฟองถึงแก่กรรมในปีพ.ศ. 2463 ได้มีการนำศพบรรทุกเรือสำเภากลับไปฝังยังประเทศจีน ทายาทได้ตั้งให้ขุนจำนงจินารักษ์ ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ตำแหน่งกรรมการพิเศษ เมืองนครลำปาง เป็นผู้จัดการมรดกจีนฟองเพื่อดำเนินธุรกิจสัมปทานป่าไม้ อากรฝิ่น อากรสุราต่อไป ในนาม "คณะผู้รับมรดกจีนฟอง"ซึ่งเป็นนิติบุคคลในนาม "บริษัทฟองหลี" ขึ้น<br /><br />ต่อมากิจการป่าไม้ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติได้ประกอบกับ รัฐบาลได้ปฏิรูปการปกครองโดยยกเลิกระบบเจ้าภาษี นายอากรและได้จัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางมาทำหน้าที่จัดเก็บภาษีแทน ทำให้ฐานะของบริษัทฟองหลีไม่มั่นคง อาคาร"ฟองหลี" จึงถูกเปลี่ยนเจ้าของมาเป็นของรองอำมาตย์โท ลีเสน เกาสิทธิ์ ต่อมารองอำมาตย์โท ลีเสน เกาสิทธิ์ได้ขายต่อให้พระยาอาณาจักรบริบาลในปี พ.ศ. 2484 และพระยาอาณาจักรบริบาลได้ขายต่อให้ นางคำใส เฮวอินปี ในปีพ.ศ. 2486 ครั้งนางคำใส เฮวอินปีถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2510 อาคารฟองหลีจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทของนางคำใส ซึ่งได้นำอาคารนี้ให้ประชาชนเช่าอยู่อาศัยหลายปีต่อมา<br /><br />จนกระทั่งปี พ.ศ. 2536 เทศบาลเมืองลำปาง ได้ก่อสร้างท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตรด้านข้างอาคารฝั่งทิศตะวันตก และมีการนำรถบดอัดชนิดสั่นสะเทือนมาใช้ในการปฏิบัติงาน จากผลดังกล่าวทำให้ผนังอาคารเกิดการทรุดตัว แยกออกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ และผนังอาคารด้านทิศตะวันตกได้พังทลายลง เมื่อวันที่ 24 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2537 เวลาประมาณ 17.00 น. ขณะที่ฝนกำลังตกหนัก<br /><br /></div><div><div><b>ลักษณะของอาคาร </b></div><div><br /></div><div>อาคาร "ฟองหลี" เป็นอาคารขนมปังขิง 1 ใน 4 หลังของอาคารแบบขนมปังขิงที่เหลืออยู่ในจังหวัดลำปางในปัจจุบัน ลักษณะเป็นอาคารแถวขนานไปกับถนน สูง 2 ชั้น ยกพื้นสูงจากถนนประมาณ 1 เมตร มีความกว้าง 16 เมตร ลึกประมาณ 10 เมตร หลังคาจั่วตัดขวางแบบจีน ชั้นบนเป็นห้องนอน มีระเบียงด้านหน้า</div><div>มีเสาไม้รับระเบียงเรียงรายอยู่ที่ทางเดินด้านล่างเป็นลักษณะอาคารแบบตะวันตกที่มีอิทธิพลเข้ามาในสมัยนั้</div><div>น<br /><br />บานประตูชั้นบนและชั้นล่างเป็นบานพับเฟี้ยมลูกฟักไม้สักแบบจีน มีการประดับตกแต่งทางเข้าด้านหน้าเป็นอย่างมาก เหนือช่องประตูเป็นช่องระบายอากาศ ประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายพรรณพฤกษา สวยงามแปลกตารูปครึ่งวงกลมค้ำยันระหว่างพื้นชั้นสองและเสารายระเบียงด้านหน้า ทำค้ำยันฉลุประดับตกแต่งเสาเม็ดเล็ก ๆ ทแยงมุมนอกจากนั้นยังตกแต่งด้วยไม้สักฉลุลวดลายโปร่ง บริเวณราวระเบียงด้านบนและชายคาด้านหน้า</div><div>ทำให้อาคารมีเสน่ห์สวยงามยิ่งนัก<br /><div><br /></div><div>ผนังอาคารเป็นแบบผนังก่ออิฐรับน้ำหนัก (wall bearing) มีความหนาประมาณ 40 ซม. มีการเสริมบัวหงายแบบฝรั่ง คาดระหว่างชั้นบนและชั้นล่างของภายนอกอาคาร ขอบหน้าต่างมีการทำคิ้วก่อบัวเป็นลายปูนปั้นแบบตะวันตก ไว้เหนือหน้าต่างกันน้ำฝนย้อย หน้าต่างมีบานเกล็ดเพื่อให้ลมเข้า และสามารถเปิดกระทุ้ง หรือเปิดทั้งหมดได้ตลอดแนวเหมือนบานประตู มีการใช้บานพับ กลอน และเหล็กเส้นกับประตูหน้าต่าง อันเป็นวัสดุที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนการยึดไม้ใช้ระบบเดือยและสลัก มีการนำตะปูจีนมาใช้กับอาคารด้วย โดยเฉพาะส่วนที่เป็นไม้ ลักษณะที่เด่นที่สุดประการหนึ่งคือ ในส่วนของงานไม้ประดับตกแต่งทั้งหมด ไม่มีการทาสี บ่งบอกความเก่าของอาคารในยุคแรกของการก่อสร้างอาคารอิฐผสมกับไม้<br /><br /><div><b>การอนุรักษ์และบูรณะอาคาร "ฟองหลี" </b></div><div><br /></div><div>หลังจากเก็บข้อมูลทางกายภาพของอาคารตามสภาพที่ปรากฎอยู่จริงในขณะนั้น พร้อมทั้งทำการคัดลอกแบบรายละเอียด (measure work) และเก็บข้อมูลสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเสร็จแล้ว ผู้เขียนจึงได้ประสานงานสถาปนิก คุณเมธี รัศมีวิจิตรไพศาล (สถ.1427 ส.) จากบริษัท Composition A เข้ามาเป็นสถาปนิกอำนวยการก่อสร้าง และ สถาปนิก จิรัฐกา จิตติรัตนากร มาเป็นคณะทำงานซึ่งในการบูรณะครั้งนี้สถาปนิก คุณเมธี ได้เสนอหลายแนวทาง แต่สุดท้ายได้ข้อสรุปกับการออกแบบ (ภาพที่ 6) ซึ่งมีจุดเด่นที่มีการคงรูปแบบอาคารเก่าในด้านหน้าแลด้านข้างทั้งหมด อีกทั้งรูปทรงคุณค่าและอาคารที่ต่อเติมใหม่เพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอย<br /><br />การบูรณะใช้เวลา 2 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ ช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2538 จนเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม</div><div>พ.ศ. 2540 อาคารที่บูรณะแล้วเสร็จ มีความสวยงามตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน</div><div><br /></div><div>รายละเอียดการบูรณะไม่ได้นำมากล่าวในที่นี้เพราะมีรายละเอียดและขั้นตอนมากมาย ผู้เขียนได้บันทึกรายละเอียดและขั้นการบูรณะอาคาร "ฟองหลี" นี้ไปเป็นกรณีศึกษา บรรยายให้กับนิสิตชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในหัวข้อ "การใช้เทคนิคทางวิศวกรรมโยธาในการอนุรักษ์อาคาร" และหัวข้อ "การอนุรักษ์ศิลปกรรมในการซ่อมแซมอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตย์" ให้กับนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับนำชมสถานที่จริงประกอบการศึกษา<br /><br /><div>การใช้สอยประโยชน์ของอาคารหลังจากที่อาคารซ่อมเสร็จ ผู้เขียนได้จัดพื้นที่ของอาคาร 2 คูหาทำเป็น</div><div>"พิพิธภัณฑ์ตลาดจีน" รวบรวมเรื่องราวสิ่งของเครื่องใช้ โดยขอความอนุเคราะห์ยืมจากครอบครัวเก่าแก่ในละแวกตลาดจีนรุ่งเรือง อาทิเช่น ป้ายไม้ชื่อร้านที่มีการใช้ภาษาแสดงในป้ายถึง 4 ภาษา มีอายุกว่า 100 ปี</div><div>ซึ่งแสดงถึงความหลากหลายของชนชาติในยุค 100 ปีเศษที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี<br /><br />นอกจากนี้ยังจัดแสดงภาพถ่ายโบราณของชุมชนตลาดจีน และของใช้สมัยโบราณต่าง ๆ อาทิปิ่นโตโบราณ</div><div>ใบแสดงสัญชาติคนในบังคับอังกฤษ ตะเกียงแก้วโบราณ หนังสือจีน โบราณเล่มใหญ่หลายเล่ม รวมทั้ง</div><div>รถม้าของจริงแบบดั้งเดิมที่มีประทุนเปิดปิดได้ และมีวงล้อเป็นซี่ไม้สักสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ดีเหมือนเดิม ไม้คัดท้ายหางเรือขนาดใหญ่ ฯลฯ<br /><br />ส่วนอีกคูหาหนึ่งนั้นได้จัดเก็บ The Old Down Town Gallery จัดแสดง ศิลปกรรมหมุนเวียน ให้เหล่าศิลปินกลุ่มต่าง ๆ หมุนเวียนนำผลงานมาจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมซึ่งทั้งสองกิจกรรมไม่มีการเก็บมูลค่าเข้าชมแต่อย่างใด ได้รับการตอบรับจากประชาชนโดยเฉพาะนักเรียนเป็นอย่างดี</div><div><br /></div><div>ตลาดจีนในวันนี้ ผ่านความรุ่งเรืองและการเปลี่ยนแปลง ตามวัฎจักรของสรรพสิ่งทั้งหลาย คนรุ่นก่อนได้สร้างสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันมีคุณค่า ที่ช่วยเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมของเมืองลำปางในปัจจุบันเราชนรุ่นปัจจุบันควรที่จะส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้าง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้มีความภาคภูมิใจ และเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นซึ่งจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาด้านอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต.</div><div>..................................</div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ผู้สื่อข่าว</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><b>on Lampang :</b></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><b>เปิดโลกลำปาง</b></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><br /></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">อาทิตย์ 6</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">กันยา 52</span></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-90088731486292923062009-07-21T08:58:00.008+07:002009-07-21T09:13:55.992+07:00บทความเพื่อสาธารณะ3 : ร่องรอยพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมบริเวณศาลากลางเก่า<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7_IMdIgf8qaug3J6TU8IBT50iPeigwgjFT7j5bvW9RdWM6j8N3_kjYvymc9YhkasALGDohJHEx8RKPiQyVbONsD7U-INjocjDcQyDwglbmr8KrOWuO711cOUbhuUKV4-DR_hLmKGCMHkY/s1600-h/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7small.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 283px; height: 195px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7_IMdIgf8qaug3J6TU8IBT50iPeigwgjFT7j5bvW9RdWM6j8N3_kjYvymc9YhkasALGDohJHEx8RKPiQyVbONsD7U-INjocjDcQyDwglbmr8KrOWuO711cOUbhuUKV4-DR_hLmKGCMHkY/s320/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7small.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5360730617056533954" /></a><br /><p class="MsoNormal"><strong><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioAVU6US5NzKPWkwG47cLBX10ej9EmUVmVDTquqloWEOxUn2D0ZR6RZ24YG7FyJecQAlnisyVln92stjO1IkJ4VPmE1LoTkjBt1Kxx3e8qsnI3RsPXRQwmODYOZTTmgkA3rhAAH44ZOSmT/s320/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A72small.jpg" style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 89px;" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5360730622294377154" /><br /></span><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; font-size: small;">พาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น </span><span class="Apple-style-span" style="font-size: small; ">ลานนาโพสต์ <span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">(</span><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">26 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2550)</span></span><br /><br />ร่องรอยจากการเดินทางไกล</span></span></strong><strong><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> :<br />บทความว่าด้วยความเคลื่อนไหวสร้างพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรม<br />บริเวณศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิม <span class="Apple-style-span" style=" font-weight: normal; font-size:16px;"><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftn1" name="_ftnref1" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span class="Apple-style-span" style=" ;font-size:small;">[1]</span></span></b></span></span></span></b></span></a></span></span></span></strong></p> <p class="MsoNormal" align="right" style="text-align:right"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์</span></span><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftn2" name="_ftnref2" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[2]</span></span></b></span></span></span></b></span></a><strong><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><o:p></o:p></span></span></strong></p> <p class="MsoNormal" align="right" style="text-align: left;"><strong><span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span></span></strong><strong><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ข้อจำกัดของบทความนี้คือ เอกสารนี้เป็นการอธิบายให้เห็นความเคลื่อนไหวผลักดันผ่านประสบการณ์ และมุมมองของ </span></span></strong><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">โครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ-ท้องถิ่นน่าอยู่ จ.ลำปาง (ต่อไปจะเรียกอย่างลำลองว่า </span></span></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">“</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ล้านคำลำปาง</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">”</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">) เป็นหลัก ดังนั้นกรอบและวิธีการอธิบายรวมไปถึงข้อมูลที่เลือกใช้จึงมีข้อจำกัดในระดับหนึ่ง โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณ<br /></span><strong><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br /></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ปี </span></span></strong><strong><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2545 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ร่องรอยของจุดเริ่มต้น<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><b><br /></b>โครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ-ท้องถิ่นน่าอยู่ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่ ณ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.ลำปาง นำโดย อ.ขวัญสรวง อติโพธิ ในครั้งนั้นมีการนำเสนอว่าพื้นที่ศาลากลางจังหวัดหลังเดิม มีความเหมาะสมที่จะเป็นพื้นที่สาธารณะของเมืองลำปาง ในเวลาก่อนหน้านั้นได้มีการจุดกระแสสนับสนุนให้พื้นที่ศาลากลางจังหวัดหลังเดิมเป็นหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางจากนายเฉลิมพล ประทีปะวนิช ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (ดำรงตำแหน่ง ตุลาคม 2545 </span></span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">–</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> กันยายน 2546)</span></span></span></span></span></span></span></strong></span></span></span></p><p class="MsoNormal" style="text-indent:36.0pt"><span><span lang="TH"><strong><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br /></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ปี </span></span></strong><strong><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2546 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เริ่มประสานงานผู้ที่เกี่ยวข้อง<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">หลังจากที่มีการจัดตั้งสำนักงานโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ-ท้องถิ่นน่าอยู่ จ.ลำปาง (ต่อไปจะเรียกอย่างลำลองว่า </span></span></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">“</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ล้านคำลำปาง</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">”</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">)แล้ว โครงการก็ได้เริ่มจับประเด็นพื้นที่สาธารณะโดยเฉพาะเรื่องหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปาง และได้ทำการเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดฯ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2546 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ในเวลาต่อมาล้านคำลำปางได้รับการประสานงานกับหอการค้าจังหวัดลำปาง เข้าร่วมประชุมกรอ.จังหวัด เมื่อวันที่</span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">28 กรกฎาคม 2546 </span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เพื่อนำเสนอเรื่องการจัดการพื้นที่ศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิมให้เป็นพื้นที่สาธารณะ นำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในที่ประชุมซึ่งนำไปสู่การประชุมกลุ่มย่อยและปฏิบัติงานต่อไป<br /><span class="apple-converted-space"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ล้านคำลำปางได้เปิดเวทีสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องเกี่ยวกับศาลากลางจังหวัดหลังเดิม ในหัวข้อว่า </span></span></span><span class="apple-converted-space"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">“</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">สะดวกเสวนา 5 ศาลากลางเก่าเอาไงดี</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">”</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง (อาคารศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิม) การเสวนาครั้งนี้นำไปสู่การวางแผนปฏิบัติ ก็คือ การจัดกิจกรรมใหญ่เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวและทดลองใช้สถานที่ในปีต่อไป ในครั้งนี้ได้เริ่มขยายเครือข่ายผู้ร่วมงานมาที่หอการค้าจังหวัดลำปาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง<br /><span class="apple-style-span"><i><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><br /></span>งานงานฮอมแฮง...แป๋งข่วงเวียงละกอน(เพื่อหอศิลป์) ครั้งที่</span></span></i></span><span class="apple-style-span"><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> 1</span></span></i></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ณ ศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิม เมื่อวันที่ 24-26 ตุลาคม จัดโดยเครือข่ายหอศิลป์ฯและล้านคำลำปาง เพื่อทดลองใช้สถานที่และการสร้างกิจกรรมร่วมกันระหว่างเครือข่ายและคนลำปาง</span></span></span></span><span class="apple-converted-space"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ใช้ทั้งส่วนพื้นที่อาคารชั้นที่1 เป็นส่วนนิทรรศการแสดงงานศิลปะโดยกลุ่มสล่าเขลางค์ นิทรรศการทางประวัติศาสตร์ และภาพถ่ายโบราณของลำปางโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง และสนามหญ้าบริเวณด้านหน้าอาคาร ก็เป็นพื้นที่ของเวทีการแสดง ที่นั่งชมพร้อมขันโตก รวมไปถึงร้านค้า กิจกรรมนี้ได้รับความสนใจพอสมควร</span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></strong></span></span></p><p class="MsoNormal" style="text-indent:36.0pt"><span class="apple-converted-space"><span lang="TH"><strong><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br /></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ปี </span></span></strong><strong><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2547</span></span></strong><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span><b><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เข้าสู่นโยบายระดับจังหวัด<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; ">การจัดงานดังกล่าวในด้านหนึ่งจึงเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมที่เปิดขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มมีกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น นิทรรศการของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง แต้มสี ตีเส้น เล่นดิน ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 2-20 กุมภาพันธ์ 2547 ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการประสานงานผ่านอาจารย์ที่เป็นสมาชิกในกลุ่มสล่าเขลางค์<br /><br />การเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจังหวัดลำปางนั้น เกิดขึ้นเมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปางทำการย้ายออกจากตัวอาคารไปอย่างสิ้นเชิง จึงจำเป็นที่ต้องมีหน่วยงานมาดูแลรักษาอาคารต่อเนื่อง จังหวัดพิจารณาเห็นถึงนโยบายเดิม จึงได้มอบพื้นที่ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปางปรับปรุงอาคารได้ตามเหมาะสม ในเหตุผลที่ว่า เพื่อให้อาคารดังกล่าวสามารถรองรับการเป็นหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปาง ตามหนังสือ ที่ ลป 00169.3/2363 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2547 ลงนามโดย นายอมรทัต นิรัติศยกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (ตุลาคม 2546-กันยายน 2550)<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />หลังจากนั้นพื้นที่ดังกล่าวก็อยู่ภายใต้การดูแลรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง (อบจ.ลำปาง) มาจนถึงปัจจุบัน ทำให้การดำเนินงานต้องประสานงานกับอบจ.ลำปางมากขึ้น</span><span class="apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> อบจ.ลำปางได้ทำการปรับปรุงสภาพอาคารด้วยการทาสีและตกแต่งภายในบางส่วนใหม่ รวมไปถึงการทำสนามด้านหน้าใหม่ มีการปลูกหญ้า ทำประตูรั้ว ไม่เพียงเท่านั้นยังปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานศาลหลักเมืองใหม่ด้วย<br /><span class="apple-style-span"><i><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><br /></span>งานฮอมแฮง...แป๋งข่วงเวียงละกอน(เพื่อหอศิลป์) ครั้งที่</span></span></i></span><span class="apple-style-span"><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> 2</span></span></i></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ณ ศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิม โดย คณะทำงานฮอมแฮงเพื่อหอศิลป์นครลำปาง</span></span></span></span><span class="apple-converted-space"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เมื่อวันที่ 28-30 พฤษภาคม ในครั้งนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนส่วนหนึ่งจากอบจ.ลำปาง มิเพียงเท่านั้นเครือข่ายทางศิลปวัฒนธรรมในลำปางก็เติบโตขึ้นอย่างกว้างขวาง คณะทำงานดังกล่าวกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของเครือข่ายทางศิลปวัฒนธรรมที่มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เกิดหอศิลปวัฒนธรรมนั่นเอง ซึ่งมีนโยบายที่จะเปิดการใช้พื้นที่ให้มากเท่าที่จะทำได้<br /><br />จึงได้มีการประสานงานร่วมกับกลุ่มและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องให้เป็นพื้นที่กลาง เป็นพื้นที่สาธารณะของคนลำปางในทางปฏิบัติ ทำให้ในปีนี้ได้มีกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม และหน่วยงานต่างๆมาร่วมใช้พื้นที่สาธารณะจำนวนมาก เช่น การเรียนการสอน</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">สืบสานซึงสะล้อที่หอศิลป์ฯ</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ โดย ชมรมฮีตละกอน การประชุม</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ฮ่ายฮอมต้อมผญา</span></i><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(ทุก 2 เดือน)</span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">งานสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นโคมศรีล้านนา </span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(กรกฎาคม) </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">กิจกรรมผ่อหนังดีที่หอศิลป์</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">จัดร่วมกับโรงเรียนลำปางกัลยาณี (กรกฎาคม )ชมรมชาวปักษ์ใต้จังหวัดลำปาง มีการจัด</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">งานหมรับ</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> งานบุญเดือนสิบ ที่มีการฉายหนังตะลุงบริเวณลานหน้าอาคาร (ตุลาคม) </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">งานแอ่วหอศิลป์...กิ๋นข้าวแลง</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> (พฤศจิกายน</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">) งานแฮปปี้คอนเสิร์ตเดย์</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> (ธันวาคม) แม้กระทั่งงานที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">งานโอท็อปแชมเปี้ยน</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> (ตุลาคม) เองก็ดี ฯลฯ<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ไม่เพียงเท่านั้นล้านคำลำปางยังได้ประสานงานให้สื่อมวลชนนักวิชาการอย่างคุณสุจิตต์ วงษ์เทศแห่งสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม</span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ให้มาบรรยายพิเศษในงานที่ชื่อว่า </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">หนทางสู่หอศิลป์ฯ</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ในวันที่ 28 มีนาคม อีกด้วย และยังได้อานิสงส์จากบทความที่คุณสุจิตต์เขียนแนะนำลงในหนังสือพิมพ์มติชนทำให้ความพยายามดังกล่าวเป็นที่รับรู้กันในวงกว้างมากยิ่งขึ้น หลังจากการบรรยายดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนเพื่อทำการสืบค้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งได้แบ่งเป็นโซนต่างๆ นำไปสู่การทำงานร่วมกับกลุ่มอำเภอต่างๆมากขึ้น<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ที่น่าสนใจก็คือ การที่สำนักงานจังหวัดได้ร่วมกับวิทยาลัยโยนก จัดทำ </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">โครงการการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อตั้งศูนย์ศิลปวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง </span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">แม้ผลการศึกษาจะเป็นการเน้นไปที่การสร้างพื้นที่การแสดงนิทรรศการศิลปะล้วน ๆ ซึ่งมิได้ตรงกับแนวทางที่เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมร่วมกันดำเนินการมาก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นว่า จังหวัดให้ความสนใจกับพื้นที่ดังกล่าว<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />อย่างไรก็ตามเมื่อมีการจัดกิจกรรมจำนวนมาก บทบาทของผู้ประสานงานก็ต้องรับบทบาทเป็นตัวกลางในการสื่อสารและขออนุญาตการใช้พื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกกับอบจ.ลำปางโดยตรง</span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ขณะที่ล้านคำลำปางก็มีงานอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับหอศิลปวัฒนธรรมโดยตรงที่จำเป็นต้องดำเนินการด้วย จึงนำไปสู่การตัดสินใจลดบทบาทการประสานงานในการใช้พื้นที่ในปีต่อมา<br /><strong><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><br /></span>ปี </span></span></strong><strong><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2548 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนของ<br />นโยบาย สถานที่ หน่วยงานรับผิดชอบหลัก และงบประมาณ<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; ">ปัญหาที่สั่งสมมาก็คือ การขาดงานหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่จะผลักดันในเชิงนโยบายและงบประมาณ ในระหว่างนี้เป็นขั้นตอนของการตระเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ แม้จะมีปฏิบัติการ กิจกรรมความเคลื่อนไหวในหลายกลุ่มแต่ก็มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนอย่างมีพลัง ดังเห็นได้จากกรณีดังต่อไปนี้<br /><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />เริ่มต้นปี 2548 ด้วยนิทรรศการศิลปะระดับชาติ เมื่อกลุ่มสล่าเขลางค์ในฐานะสมาชิกกลุ่มครูศิลป์แผ่นดินล้านนา ได้จัดนิทรรศการ</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ครูศิลป์แผ่นดินล้านนา</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ขึ้นวันที่ 21 มกราคม </span></span></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">–</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> 21 กุมภาพันธ์ ในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นำงานมาร่วมแสดง และมาร่วมเสวนาในวันเปิดงานอีกด้วย อาจนับได้ว่าครั้งนี้เป็นการจัดนิทรรศการศิลปกรรมที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในลำปาง เปิดโอกาสให้เด็ก เยาวชน และผู้สนใจได้เข้ามาเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ศิลปะในที่สาธารณะมากขึ้น ต่อจากนั้นก็มีการจัดนิทรรศการศิลปกรรมแต้มสี ตีเส้นเล่นดิน ครั้งที่ 15 อย่างไรก็ตามการดำเนินการเกี่ยวกับสถานที่เริ่มติดขัด เนื่องจากว่าทางอบจ.ลำปางได้มีการปรับปรุงและย้ายหน่วยงานสำคัญมาใช้ในพื้นที่อาคารมากยิ่งขึ้น การใช้พื้นที่อาคารในฐานะหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางดังที่หวังกันไว้จึงมีข้อจำกัด<br /><br />ขณะเดียวกันจังหวัดก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางขึ้นมา ตามหนังสือ ที่ วธ 0258/ว2247/115 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548 โดยมีนายเจริญสุข ชุมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการ และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปางเป็นเลขานุการ เช่นเดียวกันกับมีตัวแทนของเครือข่ายหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการดังกล่าวก็เป็นเพียงตำแหน่ง ไม่มีอำนาจ ไม่มีงบประมาณสนับสนุนที่จะดำเนินการจัดตั้งได้จริง แม้จะมีการประชุมกันหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าใครจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบทั้งในการดูแลสถานที่ และงบประมาณในการก่อสร้างใหม่ เนื่องจากว่าเป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูง<br /><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ดังที่กล่าวมาแล้วว่า บทบาทในการเป็นผู้ประสานงานกิจกรรมของล้านคำลำปางได้ลดน้อยลง และปรับเปลี่ยนวิธีการจากการบริหารจัดการพื้นที่ไปสู่การลงลึกเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะนำมาบรรจุไว้ในหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปาง กิจกรรมแรกก็คือ </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">โครงการสัปดาห์เมืองเก่าสัญจรนครลำปาง</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ร่วมกันกับสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม(สผ.) และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ </span></span></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ลำปาง ได้มีการจัดทำนิทรรศการประวัติศาสตร์ฉบับย่นย่อ และภาพถ่ายโบราณ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิมเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ รวมไปถึงมีการจัดเสวนาเกี่ยวกับเรื่องเมืองเก่าลำปางด้วย นอกจากนั้นล้านคำลำปางยังได้พัฒนาส่วนเนื้อหาด้วยการร่วมสืบค้นเกี่ยวกับลักษณะทางชาติพันธุ์ของคนในจังหวัดลำปาง และในที่สุดออกมาเป็นหนังสือชื่อว่า </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ฮู้คิง...ฮู้คนลำปาง เอกสารเพื่อการรู้จักตัวเอง พี่น้องผองเพื่อนชาวลำปาง</span></i></span></span></span><span lang="TH" style="font-family:";"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">โดยได้งบสนับสนุนมาจากโครงการสืบค้นประวัติศาสตร์วัฒนธรรมท้องถิ่น </span></span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">: </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">กรณีลำปาง ซึ่งประสานงานผ่านมาทาง รศ.สมโชติ อ๋องสกุล<br /><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />สิ่งที่ล้านคำลำปางพยายามที่จะกำหนดแนวทางการทำงานในปีนี้อยู่ในแผน </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ความเคลื่อนไหว 1 ปีฮู้คิงเพื่อหอศิลป์ฯ</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> (พฤษภาคม 2548-พฤษภาคม 2549) ซึ่งเน้นในการทำความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นข้อแลกเปลี่ยน กำหนดกรอบของช่วงเวลาเพื่อสร้างเอกภาพในการทำงาน และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้เรื่องลำปางอย่างมีชีวิตชีวา เพื่อนำไปสู่เรื่องราวและเนื้อหาในหอศิลป์ ซึ่งในแผนดังกล่าวยังเรียกร้องถึงหน่วยงานที่จะมารับผิดชอบ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้และได้ทำในระยะนี้ก็คือ การลดบทบาทเกี่ยวกับการประสานงานจัดกิจกรรม ขณะเดียวกันก็เบนเป้าไปสู่การสร้างความรับรู้ และตื่นตัวในวงกว้าง ในระยะนี้ได้มีการใช้สื่อสาธารณะเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนกับคนลำปางอย่างเป็นกิจวัตร เช่น </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">คลื่นวิทยุสมูทเรดิโอ </span></i></span></span><span class="apple-style-span"><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">FM</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">104.5 </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">MHz</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์ หนังสือพิมพ์แมงมุม หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์<br /><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal; "><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><i><br /></i>อย่างไรก็ตามในปีนี้ก็ยังมีงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานจังหวัดลำปางได้แก่ การทำเวทีพิจารณ์ การจัดตั้งหอศิลปวัฒนธรรม จังหวัดลำปาง โดยจัดครั้งที่ </span></span></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">1 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">วันที่ 26 กรกฎาคม 2548 ณ โรงแรมลำปางเวียงทอง<br /><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />มีกลุ่มเป้าหมายหลักก็คือ กลุ่มผู้บริหาร ผู้อำนวยการ หัวหน้าส่วนภาครัฐและเอกชน และครั้งที่ </span></span></span><span class="apple-style-span"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2 </span><span lang="TH"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">วันที่ </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">6 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">กันยายน </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2548 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ณ โรงแรมเวียงลคอร กลุ่มเป้าหมายหลักครั้งนี้คือ ภาคประชาชน พลเมืองจังหวัดลำปาง ทั้งสองครั้งดำเนินการโดย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ลำปาง มีข้อสรุปการสอบถามข้อมูลในเชิงปริมาณที่ทำให้เห็นว่าควรจะสร้างหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางโดยไม่มีข้อกังขา<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ไม่เพียงเท่านั้นสำนักงานจังหวัดยังสนับสนุนงบประมาณผ่านสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง มายังล้านคำลำปางในการจัดทำสื่อเพื่อการส่งเสริมการจัดตั้งหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปาง อันได้แก่ หนังสือ </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">จากอดีตสู่อนาคตเมืองนครลำปาง คู่มือรู้จักนครลำปางเบื้องต้น</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> โปสการ์ดชุด</span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ฮู้คิง...รู้จักตัวเอง รู้จักลำปาง เพื่อหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปาง</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> โปสเตอร์และคัทเอาท์รณรงค์ สิ่งเหล่านี้ดำเนินการเมื่อปลายปี 2548<br /><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ขณะที่ปรากฏการณ์สำคัญที่ควรจารึกไว้ก็คือ การถือกำเนิดขึ้นของกาดกองต้าถนนคนเดิน </span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ในเดือนพฤศจิกายน ที่ทำให้พื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ติดตลาดขึ้นเป็นกิจวัตร ในทุกวันเสาร์อาทิตย์ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: bold; "><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><br /></span>ปี 2549-2550 อาการเหนื่อยล้า และความเคลื่อนไหวที่แผ่วเบา<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; ">หลังจากคลื่นทางศิลปวัฒนธรรมลูกใหม่ทยอยซัดเข้ามาถึงชายฝั่ง หอศิลปวัฒนธรรมนครลำปาง เริ่มถูกกลบลบเลือนไปตามกาลเวลา ในปี 2549 ถือเป็นปีสุดท้ายที่มีการจัดนิทรรศการแต้มสี ตีเส้น เล่นดิน ครั้งที่ 16 ที่จัดที่อาคารศาลากลางจังหวัดหลังเดิม ก่อนที่จะกลับไปจัดอยู่ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปางในปีหน้า<br /><span lang="TH"><span class="apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ล้านคำลำปางยังคงเดินแนวทางการจัดทำเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาอยู่ ในปีนี้ได้ร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม(สผ.)</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> จัดทำโครงการเมืองเก่านครลำปาง จัดทำ </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">แผนที่มรดกทางวัฒนธรรมนครลำปาง</span></i><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ที่เชื่อมโยงกับนโยบายระดับชาติที่ให้ลำปางเป็นเมืองเก่าที่ควรได้รับการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วน จริงอยู่ว่ากระบวนการในการทำแผนที่ได้ทำให้เกิดการลงพื้นที่ เก็บข้อมูล สัมภาษณ์ จัดเวทีเสวนาและกิจกรรมปลีกย่อยอื่นๆ </span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">แต่อาจกล่าวได้ว่าบทบาทนั้น ได้ขยับห่างออกไปจากพื้นที่หอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางเป็นอย่างมากแล้ว ที่ยังหลงเหลือความเคลื่อนไหวอยู่ก็มีเพียงชมรมฮีตละกอนที่ยังสอนดนตรีพื้นเมืองอยู่ในช่วงวันหยุด<br /><br />จนในที่สุดที่ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ-ท้องถิ่นน่าอยู่ สิ้นสุดลงบทบาทในนามล้านคำลำปางก็ยุติลงในที่สุด ก่อนที่จะพยายามถ่ายโอนข้อมูลลงสู่เว็บบล็อก </span></span><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">on Lampang : </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เปิดโลกลำปาง</span></span></span></i><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(</span></span><a href="http://onlampang.blogspot.com/"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">http://onlampang.blogspot.com/</span></a><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">) อย่างเป็นระบบ และพยายามใช้พื้นที่ดังกล่าวนำความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับแวดวงศิลปวัฒนธรรมนครลำปางมาเผยแพร่อยู่เสมอ โดยหวังให้เป็นพื้นที่เสมือนหอศิลปวัฒนธรรมนครลำปางจำลองนั่นเอง<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: bold; "><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><br /></span>ปี 2551 การหวนกลับมาอีกครั้ง ในโอกาสของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สบร.)<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">แต่ก็เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่า สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สบร.) ได้คัดเลือกจังหวัดลำปางเพื่อเป็นจังหวัดนำร่องในการสร้างพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ในส่วนภูมิภาค มีการบันทึกว่าวันที่ 11 กันยายน 2551 จังหวัดลำปางร่วมกับสภาวัฒนธรรมและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง ได้จัดประชุมโดยมีนายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (255-255)เป็นประธาน และเชิญพลเรือเอกธนิฐ กิตติอำพน ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติเข้าร่วมประชุม ณ เทศบาลนครลำปาง<br /><br />มีข้อสรุปว่า การจัดตั้งจะต้องครอบคลุมตัวอาคารศาลากลางหลังเก่า และต้องดูเรื่องสนามด้านหน้า รวมทั้งศาลาประชาคม และที่จอดรถด้วย ในเรื่องของการทำงานจะประสานกันระหว่างทางจังหวัดกับ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้แจ้งในที่ประชุมว่าจะได้ประสานไปยัง อบจ.ลำปาง เทศบาลนครลำปาง และเทศบาลเมืองเขลางค์นคร เพื่อขอให้รับเป็นเจ้าภาพในการดูแลหลังจากที่เสร็จสิ้นแล้วด้วย</span></span><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftn3" name="_ftnref3" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><span><span><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[3]</span></span></span></span></span></span></a><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ในขณะนั้นยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าจะมีองค์การบริหารส่วนปกครองท้องถิ่นได้เสนอตัวอย่างชัดเจน ขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่าทางสถาบันจะสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างได้มากน้อยเพียงใด<br /><span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />อนึ่งสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ยังได้นำประเด็นดังกล่าวบันทึกลงในเว็บไซต์ของสถาบันด้วย ในประเด็นที่ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ในอนาคต ซึ่งมีข้อมูลของจังหวัดลำปางที่ระบุไว้ว่า โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ณ จังหวัดลำปาง ซึ่งเจาะจงในการเลือกใช้อาคารศาลากลางจังหวัดลำปาง</span></span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftn4" name="_ftnref4" title="">[4]</a><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: bold; "><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><br /></span>ปี 2552 สถานที่พร้อม มีหน่วยงานรับผิดชอบ มีงบประมาณสนับสนุน<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">หากนับการเดินทางมาตั้งแต่ปี 2546 เป็นอย่างช้าก็นับได้ว่าเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 แล้วในการดำเนินการ แต่เมื่อเราเปรียบเทียบการสร้างพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองแต่ละแห่งแล้วจะเห็นได้ว่า ไม่ถือว่าเป็นเวลาที่ยาวนานนัก เช่น หอวัฒนธรรมนิทัศน์เมืองพะเยา พ.ศ.2532</span></span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">-2539 </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(7 ปี) หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ พ.ศ.2536-2545 </span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(9 ปี) และแต่ละแห่งก็มีจุดลงตัวอยู่ที่หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ สถานที่ที่ชัดเจน และมีแหล่งงบประมาณสนับสนุนที่แน่นอน<br /><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />ในปีนี้ทางสถาบันให้ข้อมูลว่าจะให้การสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการใน 3 ปีเป็นเงินกว่า 155 ล้านบาท ขณะที่ทางเทศบาลนครลำปางก็ยอมรับเป็นเจ้าภาพในการดูแลจัดการพื้นที่ รวมไปถึงการที่จังหวัดส่งมอบพื้นที่บริเวณศาลหลักเมือง และบริเวณอาคารศาลากลางจังหวัดหลังเดิมให้กับเทศบาลนครลำปางดูแล ซึ่งจะต่อเนื่องกับการที่เทศบาลได้พัฒนาพื้นที่บริเวณตลาดหลักเมือง<br /><br />อนึ่งในการส่งมอบพื้นที่ครั้งนี้อบจ.ลำปางจะย้ายออกราวๆเดือนตุลาคม 2552 ขณะที่ตามข่าวระบุว่า บริเวณศาลาประชาคม และสำนักงานจะยังใช้เป็นที่เก็บของระหว่างที่รอขนย้ายทั้งหมด และจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานอื่นมาใช้พื้นที่ต่อไป</span></span><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftn5" name="_ftnref5" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><span lang="TH"><span><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[5]</span></span></span></span></span></span></a><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> ในเงื่อนไขตรงนี้ทางจังหวัด เทศบาลนครลำปาง และสถาบันจำต้องทำให้กระจ่างถึงพื้นที่ดังกล่าวจำเป็นต้องทำเรื่องของใช้ให้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้หรือไม่<br /><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br />แต่เส้นทางยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น การที่ได้งบประมาณถือว่าเป็นด่านแรก การร่วมมือในการสร้างพื้นที่ดังกล่าวยังต้องอาศัยการผลักดันอีกไม่น้อย</span></span><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">.<br /><span class="Apple-style-span" style="white-space: pre; ">.......................</span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></i></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></strong></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></b></span></span></p><div style="mso-element:footnote-list"> <hr align="left" width="33%" style="font-size:78%;"><div style="mso-element:footnote" id="ftn1"> <p class="MsoFootnoteText"><span class="MsoFootnoteReference"><i><span><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span class="Apple-style-span" style=" font-style: normal; font-weight: normal; white-space: pre; "><b><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เชิงอรรถ</span></b><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br /><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftnref1" name="_ftn1" title=""><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[1]</span></a></span></span></span></b></span></span></i></span><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เอกสารประกอบการประชุมเพื่อชี้แจงและร่วมหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้จังหวัดลำปาง ณ ศาลากลางจังหวัดลำปางหลังเดิม ครั้งที่ 1 วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2552 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 5 ธันวา อาคารกองช่าง-คลัง เทศบาลนครลำปาง<br /></span></span><span class="Apple-style-span" style=" font-style: normal; "><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftnref2" name="_ftn2" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[2]</span></span></b></span></span></span></a><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">อดีตผู้ประสานงานหลักโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ-ท้องถิ่นน่าอยู่ จ.ลำปาง (ล้านคำลำปาง) ในช่วงปี 2546-2549<br /></span></span><span class="Apple-style-span" style=" font-style: normal; "><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftnref3" name="_ftn3" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[3]</span></span></b></span></span></span></a><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ลานนาโพสต์. จัดสร้างหอศิลป์หาเจ้าภาพดูแลงบปี </span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">53</span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[</span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ระบบออนไลน์</span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">]</span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">แหล่งอ้างอิง<br /></span></span><span style="color:windowtext;"><a href="http://onlampangmuseum.blogspot.com/2008/09/blog-post_29.html"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">http://www.lampangpost.com/news/684-6.htm</span></span></a><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br /></span></span><span class="Apple-style-span" style=" font-style: normal; "><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftnref4" name="_ftn4" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="MsoFootnoteReference"><b><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[4]</span></span></b></span></span></span></a><i><span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span class="apple-style-span"><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. </span></span></span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">พิพิธภัณฑ์ในอนาคต</span></span><span class="apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span></span></span><span class="apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[</span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ระบบออนไลน์</span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">]</span></span></span><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">แหล่งอ้างอิง<br /></span></span><span class="Apple-style-span" style=" font-style: normal; "><u><span><a href="http://onlampangmuseum.blogspot.com/2008/09/blog-post_29.html"><span style="color:windowtext;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">http://www.ndmi.or.th/</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">2008/</span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">museums/future/lampang.html </span></span></a></span></u><span class="MsoHyperlink"><i><span lang="TH" style="color:windowtext;"><span class="Apple-style-span" style="font-style: normal;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(29 กันยายน 2551)<br /></span></span><span class="Apple-style-span" style=" font-style: normal; "><a href="file:///E:/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52552/06%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%992552/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882%E0%B8%81%E0%B8%84/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8Dedit.doc#_ftnref5" name="_ftn5" title=""><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="MsoFootnoteReference"><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">[5]</span></span></span></span></span></a><span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> </span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ลานนาโพสต์ </span></span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">(26 มิถุนายน </span></span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">–</span><span lang="TH"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> 2 กรกฎาคม 2552)</span><br /></span><span class="Apple-style-span" style=" white-space: pre; "><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">....................... </span><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ผู้สื่อข่าว </span><span class="Apple-style-span" style="font-weight: bold; "><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">on Lampang : </span><span class="Apple-style-span" style=" font-weight: normal; "><b><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เปิดโลกลำปาง</span></b><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"> อังคาร 21 กรกฎา 52 </span></span></span></span></span></span></span></span></i></span></span></span></span></i></span></span></span></span></i></span></span></span></i></span></span></span></i></p></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-57358327939746193222009-06-20T06:45:00.004+07:002009-06-20T07:26:33.559+07:00บทความเพื่อสาธารณะ2 : "ปี2549 ครบรอบ 160 ปี ชาตกาล ครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนี แห่งวัดปงสนุก"<div><b>ปี2549 ครบรอบ 160 ปี ชาตกาล ครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนี แห่งวัดปงสนุก</b></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:100%;"><span class="Apple-style-span" style="font-size:13px;"><br /></span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">โดย ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เคยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เีสียงประชาชน ราวๆปี 2548</span></div><div><br /></div><div>ขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่ หากนับไปอีกหนึ่งเดือนก็จะเข้าสู่ปีจอ พ.ศ.2549 ซึ่งจะเป็นปีที่ครบรอบวาระสำคัญหลายๆประการในแผ่นดินผืนหนังนครลำปางนี้ เช่น ครบรอบ 90 ปีการมาถึงลำปางของรถไฟสายเหนือ, 120 ปีของการก่อสร้างวิหารพระเจ้าพันองค์ วัดปงสนุกเหนือ และแน่นอน ครบรอบ 160 ปีชาตกาลของปราชญ์ ครูเมืองละกอน ครูบาอาโนฯ(ขอเรียกสั้นๆว่า ครูบาโนฯ) ผู้มีคุณูปการต่อเมืองนครลำปางและยังนับเป็นปัญญาชนในอดีต ที่คนลำปางไม่ค่อยรู้จัก ผู้เขียนจึงใคร่นำเรื่องราวของครูบาอาโนฯมาเล่าสู่กันฟัง ดังต่อไปนี้</div><div><br /></div><div><b>1.บรรยากาศบ้านเมืองสมัยนั้น</b></div><div>ในยุคที่นครลำปางกำลังเปลี่ยนแปลง เริ่มสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นในอีกฟากฝั่งหนึ่งของน้ำแม่วัง โดยที่ <b>พระยาคำโสม</b>(เจ้าหลวงองค์ที่2 พ.ศ.2329-2337) ทำการสร้างวัดกลางเวียงหรือวัดบุญวาทย์ ต่อมาในสมัย <b>พระเจ้าหอคำดวงทิพย์</b>(เจ้าหลวงองค์ที่3 พ.ศ.2337-2368) ได้ฤกษ์ที่จะสร้างเมืองใหม่ ในเดือน 8 ขึ้น 4 ค่ำ (เหนือ ซึ่งนับเร็วกว่าภาคกลาง2เดือน) พ.ศ.2361 [พระครูพุทธิธรรมโสภิต:9] สันนิษฐานได้ว่า อาจเป็นปีที่เริ่มสร้างกำแพงเมือง คูเมือง ประตูเมืองและหอรบ ในการขยายเมืองซึ่งแน่นอนว่า สัมพันธ์กับไพร่ฟ้าประชากรที่เป็นกำลังสำคัญในด้านแรงงานการผลิตและก่อสร้าง ดังกรณีกรุงเทพฯ ใช้แรงงานจามขุดคูเมือง ลาวสร้างกำแพงเมือง [สุจิตต์ วงษ์เทศ : 115-117]</div><div><br /></div><div><b>2.กำเนิดจากเชื้อสายจีน</b></div><div><b>พ่อจ๋อย</b>(จีนไหหลำ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มชาวจีนแรกๆที่ปรากฏตัวในหน้าประวัติศาสตร์ลำปาง คำถามก็คือว่า มาจากไหน มาทำอะไรที่ลำปาง) และ<b>แม่อุตส่าห์</b> (ที่น่าจะเป็นคนพื้นเมือง)ได้ให้กำเนิดทารกน้อย ณ บ้านปงสนุก นครลำปาง (หรือบ้านพะยาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในภูมิภาคที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ทั้งยังสามารถดำรงสำนึกตัวตนท้องถิ่นไปพร้อมๆกัน) เมื่อพ.ศ.2369 ร่วมสมัยกับรัชกาลที่2 และ<b>พระยาไชยวงศ์</b>(เจ้าหลวงองค์ที่4 พ.ศ.2368-2380) แห่งนครลำปาง ขณะที่<b>พระยาพรหมโวหาร</b> กวีคนสำคัญของภูมิภาค เกิดเมื่อพ.ศ.2345 ณ บ้านสิงห์ชัย </div><div><br /></div><div><b>3.เข้าบวชเรียน</b></div><div>ท่านมีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ อุปสมบทเมื่อครบ 20 ปีในปีพ.ศ.2389 ที่วัดปงสนุก โดยมี<b>พระครูบาอินต๊ะจักร</b> เป็นพระอุปัชฌาย์(ถือว่าเป็นศิษย์สาย<b>พระมหาเกสรปัญโญ</b> หรือ<b>ครูบามหาป่า </b>แห่งวัดไหล่หิน เกาะคา และศิษย์สายต่างๆนี้เองเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งและสำคัญ ดังปรากฏการไปมาหาสู่กันของพระภิกษุ และชาวพุทธในดินแดนแห่งนี้อยู่เสมอๆ ปรากฏอย่างชัดเจนในความเชื่อเรื่องการจาริกเพื่อไหว้พระธาตุตามเมืองต่างๆ</div><div><b><br /></b></div><div><b>4.ใกล้ชิดเจ้าหลวง</b></div><div>ครูบาโนฯยังมีความใกล้ชิดกับเจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง ตั้งแต่สมัย<b>เจ้าวรญาณรังษีราชธรรม</b>(เจ้าหลวงองค์ที่7 พ.ศ.2393-2416) ที่ร่วมกันฝัง<b>เสาหลักเมือง</b> ณ วัดปงสนุกเหนือ พ.ศ.2400(ก่อนที่จะย้ายไปที่ศาลหลักเมืองปัจจุบัน)<b> เจ้าสุริยะจางวาง</b>(เจ้าหลวงองค์ที่9 พ.ศ.2425-2430)ที่ร่วมกันบูรณะวัดพระบาท และรอยพระบาท พ.ศ.2418 ด้วยบารมีดังกล่าว และการที่รู้จักผู้คนกว้างขวาง ก็คงจะทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบ้านเมืองจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็น <b>เจ้าคณะจังหวัดลำปางรูปแรก </b></div><div><b><br /></b></div><div><b>5.ภูมิศาสตร์ครูบาโนฯ เครือญาติอันกว้างขวาง</b></div><div>ครูบาโนฯยังมีการบันทึกถึงสภาพพื้นที่ต่างๆอีกด้วย ถ้านอกตัวเมืองนครลำปาง ก็มีดังนี้<b> เมืองแจ้ห่ม แจ้ซ้อน เมืองปาน งาว หางสัตว์(ห้างฉัตร) </b>และยังรวมไปถึง<b>พะยาว(พะเยา)</b>ด้วย ส่วนในบริเวณเมืองนครลำปางและใกล้เคียงก็ปรากฏในบันทึกถึงย่านชุมชน และพื้นที่ต่างๆได้แก่ <b>วัดเชียงราย วัดม่อนกระทิง วัดกู่ขาว วัดปันเจิง วันต้นโทง(ต้นธงชัย) วัดเสด็จ วัดพระบาท วัดกาดเมฆ วัดบ้านกล้วยแพะ บ้านแลง บ้านเอื้อม </b>เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะกล่าวถึงการจาริกไปร่วมงานบุญและช่วยงานก่อสร้างเสนาสนะ หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบริเวณนั้นๆ แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการเดินทางไปมาหาสู่ และกลุ่มบ้านเมืองในสมัยก่อน ที่มีความสัมพันธ์ต่อกันลึกซึ้ง มากกว่าที่เราคิด </div><div><b><br /></b></div><div><b>6.ศิลปสถาปัตยกรรม น้ำมือครูบาโนฯ</b></div><div>แม้งานสร้างสรรค์ทางศิลปะและสถาปัตยกรรมจะปรากฏอยู่ในบันทึกอย่างหลากหลาย(ได้แก่ การสร้าง, ซ่อมพระพุทธรูป, ฉัตรยอดเจดีย์ ตามวัดต่างๆทั่วนครลำปาง) แต่ผลงานชิ้นเอกที่แสนจะโดดเด่นของท่านก็คือ วิหารพระเจ้าพันองค์ บนม่อนดอย วัดปงสนุกเหนือ ที่ลงมือ ในปีพ.ศ.2429 เมื่อครูบาโนฯอายุได้ 60 ปี พรรษา 40 นั่นเอง(คาดว่าน่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดแล้ว)</div><div><br /></div><div>ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ควรจะตั้งเป็นคำถามอย่างยิ่งก็คือ นอกจากเป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์วิหารวัดปงสนุกแล้วยังมีมิติอื่นๆอยู่ด้วยหรือเปล่า ในช่วงเวลาดังกล่าวถืออยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคสมัย ทั้งปัจจัยกดดันจากรัฐบาลสยามและปัจจัยภายนอก จากการเข้ามาของธุรกิจการทำไม้ รวมไปถึงฝรั่งและชาวพม่าบวกกลุ่มชนต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในทางการเมือง(ถึงกับมีการก่อตั้งสถานกงสุลอังกฤษ นครลำปาง)และเศรษฐกิจเป็นอย่างสูง ที่ต่อมาในช่วงตลอดทศวรรษ พ.ศ.2430-2440 ได้มีการก่อสร้างวัดพม่าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน(ซึ่งใช้เงินมิใช่น้อย)</div><div><br /></div><div>ยิ่งเมื่อพิจารณารายชื่อของผู้ร่วมบูรณะที่ประกอบด้วย<b>ฝ่ายเจ้านายลำปาง เจ้าสัวชาวจีน พ่อเลี้ยง ชาวลำปางพื้นเมือง </b>ก็น่าจะตั้งเป็นข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มอำนาจทางการเมือง(ฝ่ายเจ้า) กลุ่มเศรษฐกิจ(เจ้าสัว-พ่อเลี้ยง) โดยเฉพาะรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างออกจากรูปแบบทั่วๆไป ที่มีการนำเอาศิลปะแบบหัวเมืองเชียงตุง เชียงรุ่ง สิบสองปันนา มาใช้ น่าจะเป็นความพยายามแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงตัวตน ที่แตกต่าง ภายใต้บรรยากาศการเมืองที่กดดันอยู่</div><div><br /></div><div>วิหารดังกล่าว เป็นวิหารโถงทรงจัตรุมุขย่อมุม สร้างด้วยไม้ในลักษณะมณฑป หลังคาซ้อน 3 ชั้นที่คงเหลือเพียงแห่งเดียวในประเทศ ตัวอาคารแสดงลักษณะผสมผสาน ระหว่างศิลปะล้านนา พม่า และจีน(หนักไปทางสิบสองปันนาด้วย) ชาวบ้านเอกันว่าวิหารนี้ สร้างโดยช่างเชียงแสน เลียนแบบหอคำเมืองเชียงเกี๋ยง(เชียงเจิ๋ง)ในสิบสองปันนา ประเทศจีน </div><div><br /></div><div><b>ครูบาอาโนชัยธรรมจินดา </b>นำคติสัญลักษณ์ทางศาสนามาผสานกับงานศิลปกรรมได้อย่างวิจิตร แม้ว่าวิหารพระเจ้าพันองค์จะเป็นอาคารขนาดเล็ก แต่การจัดวางองค์ประกอบที่ย้ำถึงความสำคัญของตัวอาคาร ซึ่งเปรียบประดุจปราสาทที่ประทับของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ รอเพียงการมาของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต วิหารหลังนี้ยังเน้นย้ำถึงจำนวนมากมายเป็นอเนกอนันต์ของพระพุทธเจ้าที่ทรงเสด็จมาเผยแพร่พระธรรมเพื่อให้มนุษย์ก้าวข้ามวัฏสงสาร ขณะเดียวกันก็ใช้งานศิลปกรรมแสดงสัญลักษณ์ของภูมิจักรวาล รวมไปถึงการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้าที่เขียนเป็นภาพชาดกมาผสมผสานเป็นองค์ประกอบอย่างลงตัว จน<b>ศาสตราจาย์นคร พงษ์น้อย</b> ผู้อำนวยการไร่แม่ฟ้าหลวงได้นำความงดงามไปเป็นต้นแบบของ หอคำไร่แม่ฟ้าหลวง ในปีพ.ศ.2527 </div><div><br /></div><div>วิหารดังกล่าว น่าจะเป็นสถาปัตยกรรมยุคท้ายๆที่มีพลัง ก่อนที่กระแสนิยม<b>ศิลปะแบบพม่า-วิคตอเรียน-อินเดีย และจีน</b> ตลอดจนรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบภาคกลาง(และแบบมาตรฐานกรมศิลปากร) จะเข้ามามีบทบาทกว้างขวาง ความพยายามดังกล่าวจึงไม่ประสบผลเท่าใดนัก ความสำคัญของวิหารพระเจ้าพันองค์ มิได้ถูกยกย่อง หรือแม้แต่จะพัฒนารูปแบบดังกล่าวให้แตกยอดต่อไป (แม้ในแผนที่การท่องเที่ยว ในยุคกอบโกยรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ไม่ได้รับการระบุไว้)</div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span></div><div><b>7.บันทึกครูบาโนฯ พ.ศ.2358-2470</b> </div><div>บันทึกดังกล่าวอยู่ในลักษณะบันทึกประจำปี สรุปสั้นๆบอกเหตุการณ์สำคัญต่างๆไว้ ในพ.ศ.2358-2453 เช่น ภัยธรรมชาติ การเดินทางไปบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆ หรือกระทั่งเรื่องของเจ้านาย (ซึ่งในสมัยก่อน ตำรา บันทึกส่วนใหญ่เป็นตำรายา คัมภีร์ธรรมะ โหราศาสตร์ต่างๆ) ซึ่งหนึ่งในนั้นได้รับการปริวรรตออกมาสู่สาธารณะ โดย <b>พระครูพุทธิธรรมโสภิต</b> เจ้าอาวาสวัดพระเจ้าทันใจ เมื่อ พ.ศ.2539 (ยังมีตำรา อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้สานต่อ และส่วนหนึ่งได้มีการสูญหายไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ควรแล้วหรือไม่ที่จะมีการจัดทำระบบการปริวรรตและเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง และเร่งด่วน)</div><div><br /></div><div>ที่สำคัญก็คือ เป็นบันทึกอยู่ระหว่างเหตุการณ์สำคัญช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมลำปาง ตั้งแต่ยุคตั้งเมืองนครลำปาง และยุครวบอำนาจเข้าสู่สยามประเทศที่น่าสนใจ(ช่วงเวลานับแต่ก่อนยุคครูบาฯที่มีการคัดลอกต่อมา จนถึงหลังครูบาฯที่มีศิษย์เป็นผู้บันทึกต่อ)</div><div><b><br /></b></div><div><b>8.ครูเมืองละกอน</b></div><div>ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นพหูสูต ในศาสตร์ต่างๆ อันได้แก่ การปกครองและเผยแพร่ งานศิลปสถาปัตยกรรม จิตรกรรม อักษรศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ วรรณกรรม จนได้รับการขนานนามว่า <b>ครูเมืองละกอน </b></div><div><br /></div><div>ภายหลังทายาทได้อนุญาตต่อฝ่ายบ้านเมือง เพื่อใช้นามสกุลว่า <b>“เครือจีนจ๋อย”</b> อันเป็นการระลึกถึงต้นตระกูล (โยมพ่อของ ครูบาโนฯคือ จีนจ๋อยนั่นเอง)</div><div><br /></div><div>คุณูปการของครูบาโนฯนั้นแม้จะประกาศในหน้ากระดาษ แต่ก็ได้น้อยกว่าน้อย ยังมีอีกหลายส่วนที่ต้องช่วยกันสืบสานต่อ และไม่ใช่กำลังของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจที่ใหญ่หลวงของพ่อแม่พี่น้องชาวลำปาง มิฉะนั้นแล้ว คงจะเหลือเพียงคำบ่น พร่ำเพ้อ ฟูมฟาย ซึ่งในที่สุดก็จะหายไปกับสายลม</div><div><br /></div><div>อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย.</div><div><br /></div><div><b>หนังสืออ่านเพิ่มเติม</b></div><div>1. พระครูพุทธิธรรมโสภิต. <b>ประวัติวัดปงสนุกเหนือและประวัติ,บันทึกครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนี</b>. ลำปาง : สหกิจการพิมพ์,2539.</div><div>2. วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์.ไม่ปรากฏชื่อหนังสือ.2548</div><div><div>3. สุจิตต์ วงษ์เทศ.<b> กรุงเทพฯมาจากไหน?</b>, กรุงเทพฯ : มติชน.2548</div><div>............................</div></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ผู้สื่อข่าว </span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><b>on Lampang :</b></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><b>เปิดโลกลำปาง</b></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><br /></span></div><div><span class="Apple-style-span"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">เสาร์ 20</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">มิถุนา 52</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-55034089810481962822009-06-20T06:31:00.006+07:002009-06-20T08:41:31.878+07:00บทความเพื่อสาธารณะ1 :"ปัญญาชนสยาม...นามว่า ส.ธรรมยศ"<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_RBg24SEtzvtyuDd3Cs4dWl0Anc3q5BT907yQGwzoMOZ5V3Td4TWfYO5sX_0ZLQecMx6zAMNN5TNtqH-xyMK8Oc0c0muZ2a3-gtFDslDsP7PjoS_Hur_n97go4ulUStyOyswNnBkofbZQ/s1600-h/spd_2009052663634_b.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 234px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_RBg24SEtzvtyuDd3Cs4dWl0Anc3q5BT907yQGwzoMOZ5V3Td4TWfYO5sX_0ZLQecMx6zAMNN5TNtqH-xyMK8Oc0c0muZ2a3-gtFDslDsP7PjoS_Hur_n97go4ulUStyOyswNnBkofbZQ/s320/spd_2009052663634_b.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5349189879572843650" /></a><div><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_RBg24SEtzvtyuDd3Cs4dWl0Anc3q5BT907yQGwzoMOZ5V3Td4TWfYO5sX_0ZLQecMx6zAMNN5TNtqH-xyMK8Oc0c0muZ2a3-gtFDslDsP7PjoS_Hur_n97go4ulUStyOyswNnBkofbZQ/s1600-h/spd_2009052663634_b.jpg"></a><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ปกนิตยสารโลกหนังสือ ฉบับ 26 ปี ของ ส.ธรรมยศ, เมษายน 2521</span></div><div>ที่มาภาพ : <a href="http://su-usedbook.tarad.com/shop/s/su-usedbook/img-lib/spd_2009052663634_b.jpg">http://su-usedbook.tarad.com/shop/s/su-usedbook/img-lib/spd_2009052663634_b.jpg</a><br /><br /></div><div><div><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8qaEDclehv1Ley4b4wXxUulYcPBaChjJKWj8G7mCP_4krZjcRL9vLon0I1vrUY583HL_6p7eGeHhL1vmNRrAIw-hOs34gKa-rUWdN_Fzy347Ycol6K4ThMakrClZ6ShNU7tWRiRcP3cUS/s320/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%A8.jpg" style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 216px; height: 320px;" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5349189885025355714" /></span></b></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ภาพถ่ายแสน ธรรมยศ เมื่ออายุ 20 ปี ในปีค.ศ.1934/พ.ศ.2477 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากเวียดนาม</span></div><div>ีที่มาภาพ : <a href="http://www.su-usedbook.com/product.detail.php?lang=th&cat=16145&id=248580">http://www.su-usedbook.com/product.detail.php?lang=th&cat=16145&id=248580</a></div><div><b><br /></b></div><div><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "></span>ปัญญาชนสยาม...นามว่า ส.ธรรมยศ</b></div><div><b><br /></b></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">โดย ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เคยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชน (ลำปาง) ราวๆปี 2548</span></div><div><br /></div><div>1.</div><div>“...ขอให้เรามาร่วมกันวิเคราะห์ชีวิตของคนไทยผู้นั้น หรือชีวิตของ <b>“พระเจ้ากรุงสยาม” </b>อย่างเสรีตรงไปตรงมา ไม่ใช่อย่างนักการทูต ไม่ใช่อย่างนักพงศาวดารไม่ใช่อย่างพ่อค้า เร่ขายความฉลาด หากเปิดเผยทุกด้านทุกมุมอย่างนักค้นคว้าความเป็นจริงที่จริงที่สุดเท่าที่จะสามารถค้นคว้าได้ในยุคนี้...”</div><div><br /></div><div>ข้อความนี้ปรากฏอยู่ใน <b>Rex Siamen Sium </b>หรือ พระเจ้ากรุงสยาม ผลงานชิ้นสุดท้ายของ ส.ธรรมยศ ที่คลอดมา ณ โรงพยาบาลวัณโรคกลาง เมืองนนท์ ที่ๆเดียวกับที่เขาใช้พักฟื้น เช่นเดียวกับที่ๆเขาลาโลกใบนี้ไปในพ.ศ.2495 ปีเดียวกับ ปีที่หนังสือพระเจ้ากรุงสยามปรากฏสู่บรรณพิภพ </div><div><br /></div><div><b>แสน ธรรมยศ </b>คือชื่อจริง(ต่อไปจะเรียกว่า แสน) ถือกำเนิด เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2457 ณ ตำบลปงพระเนตรช้าง จ.ลำปาง(ปัจจุบันยังปรากฏชื่อ ตรอกปงพระเนตรช้าง ที่เชื่อมระหว่างถนนทิพย์ช้าง กับ ถนนตลาดเก่า ใกล้กับสำนักงานไปรษณีย์ลำปาง) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงเรียนเคนเน็ตแม็คเคนซี และไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ พระนคร จนมีโอกาสไปเรียนมหาวิทยาลัยเอี๋ยง จั้ง ทั่น ที่ฮานอย เวียดนาม</div><div><br /></div><div>แสน ผู้อายุสั้น(อายุเพียง 38ปี) เกิดในยุคที่ประเทศกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ จากยุคบุกเบิกของรถไฟ(สายเหนือมาถึงลำปางเมื่อ พ.ศ.2459) อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และยังมีประสบการณ์ได้ร่ำเรียนปรัชญาจาก เวียดนามอีกต่างหาก จึงมีหัวคิดที่ก้าวหน้า ชอบถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ มีความสามารถเป็นนักปรัชญา นักเขียน นักปาฐกถา แต่อย่างไรก็ตาม แสน ก็ถูกวิพากษ์กลับว่า เป็นประเภทเอาหลักไม่ได้ เป็นคนเจ้าอารมณ์ (โดย สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์) เป็นคนรีบร้อนเกินไป ไม่ได้ศึกษาให้กว้างขวางเสียก่อน (โดย วิทย์ ศิวะศริยานนท์ นักวรรณกรรม) ไม่ใช่คนเก่งประวัติศาสตร์...ไม่เรียนซ้ายขวามาเปรียบเทียบกัน เพื่อหาข้อยุติที่ถูกต้อง(โดย ลาวัณย์ โชตามระ นักเขียนสารคดี)</div><div><br /></div><div>แต่ด้วยความกล้าหาญ และสำนวนที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองของเขา จึงได้รับฉายาว่า ราชสีห์แห่งการเขียน ดั่งในหนังสือพระเจ้ากรุงสยาม อันเป็นหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์รัชกาลที่4 อย่างตรงไปตรงมา ข้อความหลายหน้า อาจทำให้นักอ่านหัวอนุรักษ์สะดุ้ง แต่ถ้าอ่านด้วยใจเป็นธรรมแล้ว แสนมิได้มีเจตนาที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด</div><div><br /></div><div>มิเพียงเท่านั้น ความก้าวหน้าของแสน ยังปรากฏในข้อเสนอพัฒนาประเทศต่อรัฐบาลด้วย เช่น การเสนอให้เปิดการเรียนการสอนวิชาปรัชญาขึ้น ที่เป็นการศึกษาเพื่อยกระดับความคิดในการรับใช้และสร้างสรรค์สังคมด้วยซ้ำ ขณะที่วิชาดังกล่าวแม้ในปัจจุบันจะเปิดสอนกันเกร่อแต่ก็มิได้เปิดหูเปิดตาร่วมกับสังคมให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่อย่างใด บางที่เป็นเพียงวิชาพื้นฐานทั่วไป ปราศจากความสำคัญไปก็มี มีอ้างกันว่าเคยเสนอผู้ใหญ่ในรัฐบาลตั้งสภาการค้นคว้าแห่งชาติ(แสน ธรรมยศ,2547:310) เสนอให้สร้างชาติด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับที่อังกฤษและญี่ปุ่นได้ทำสำเร็จมาแล้ว(ซึ่งอาจจะล้มเหลวที่เมืองไทยก็ได้) เห็นว่าการนำเข้าความรู้เป็นเพียงแค่ชั้นสอง ไม่สามารถจะสร้างขึ้นมาเองได้(แสน ธรรมยศ,2547:327) </div><div><br /></div><div>สำนักพิมพ์มติชน ได้จัดพิมพ์ครั้งที่2 เพื่อฉลอง วาระครบรอบ 2 ศตวรรษแห่งพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2547 แสนถึงได้เกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง</div><div><br /></div><div>2.</div><div>แม้ร่างกายสังขารของแสนจะแตกสลาย แต่ก็หลงเหลือคมเขี้ยวของราชสีห์ที่ฝากไว้กับหนังสือ และตำราต่างๆจำนวนมาก (เมื่อเทียบกับอายุการทำงานของแสน) อาจเป็นไปได้ว่า ความคิดความเห็นของเขาจะไม่ได้เป็นที่ยอมรับของสังคม ผลงานและชื่อเสียงก็หายเงียบไปกับกาลเวลา </div><div><br /></div><div>ชื่อเสียงของแสนปรากฏอีกครั้งเมื่อบรรยากาศ 14 ตุลาคม 2516 แต่ก็อยู่ใต้เงาของศรีบูรพา และจิตร ภูมิศักดิ์ หนังสือพระเจ้ากรุงสยามกลายเป็นหนังสือหายาก จนมีคนเข้าใจผิดว่ากลายเป็นหนังสือต้องห้ามไป!!(แสน ธรรมยศ,2547:(9)) พอหลัง 6 ตุลาคม 2519 จึงเริ่มมีการรวบรวมกันอย่างไม่เป็นทางการโดยคนไทยในอเมริกา และไม่ได้แพร่หลายในเมืองไทย</div><div><br /></div><div>ผลงานของแสน ได้รับการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่ ปรัชญา ศิลปวรรณคดี งานวิจารณ์ เรื่องสั้น และประเภทอื่นๆจำนวน 30 ชิ้น(จากโลกหนังสือ) แต่จะมิกล่าวในรายละเอียดในที่นี้ </div><div><br /></div><div>งานของ แสน ถือเป็นเล่มแรกๆที่พยายามจะอธิบายงานทฤษฎีและวรรณคดีวิจารณ์ ซึ่งความใหม่ที่เป็นการนำเข้าความคิดจากนักวรรณกรรมทางตะวันตก ถือว่าเป็นเกียรติคุณอย่างปฏิเสธมิได้ แม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง จนถูกกล่าวว่า ไม่ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นหนังสือวิชาการทีเดียว บางทีแสนอาจจะถ่ายทอดตัวตันทั้งหมดลงไปในข้อคิด งานเขียนอันหลากหลายของเขา ดังปรากฏในผลงานเรื่องสั้นที่มีลีลา และสำนวนอันโดดเด่น ขอยกตัวอย่างข้อความจากเรื่องสั้น เรื่อง วิญญาณที่ท่องเที่ยวไป ดังนี้ </div><div><br /></div><div>“…แต่เราแต่งงานกันไม่ได้หรอกนงราม มันผิดทฤษฎี ฉันต้องการแต่เพื่อนและความรัก ฉันกลัวที่สุดว่า ถ้าแต่งงานแล้ว ลูกของฉันจะโง่กว่าฉัน นี้ไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าเด็กโง่นั้น จะไปเพิ่มจำนวนคนโง่แก่ฝูงมนุษย์ ฉันไม่ใช่คนฉลาดเท่าไหร่ก็จริง…แต่ลูกของเรา เธอเชื่อหรือว่ามันจะผ่าน 2 มหาวิทยาลัย เหมือนแม่มัน ขอให้เรารักกันอย่างนี้ อาณาจักรจุมพิต เป็นจักรวาลที่ฉันบูชา จุมพิตคือศาสนา ฉันรักเธอมากที่สุดเหมือนกัน…” </div><div><br /></div><div>และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต แสนก็มิได้ลงหลักปักฐานกับใครจริงๆ ตายท่ามกลางความอ้างว้างของคนโสด</div><div><br /></div><div>บุคลิกของแสนนั้น ถือว่าเป็นบุรุษผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง หยิ่งในศักดิ์ศรี ปากจัด นิยมสนทนาวิสาสะกับผู้คน บางท่านให้ความเป็นว่าเป็นนักปาฐกถาฝีปากเอก เป็นผู้บุกเบิกในวงการขีดๆเขียนๆ นี่เป็นบุคลิกในเชิงยกย่อง แน่นอนดังที่กล่าวมาแล้วว่า ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญก็ย่อมจะมีผู้คนกล่าวไว้เช่นกัน ดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนที่ผ่านมา</div><div><br /></div><div>หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ประทับแน่นด้วยชีวประวัติของคนๆหนึ่ง โดยเฉพาะหน้ากระดาษนี้มิได้หมายเพียงจะเล่าขานถึง ตัวตน และบุคคลที่เป็นปัจเจก ที่ขาดความสัมพันธ์กับใครในโลกเท่านั้น แต่หวังใจอย่างยิ่งที่ให้เห็นถึงบทบาทที่คนหนึ่งคนได้บุกเบิกถางทางให้คนรุ่นหลังอย่างเต็มกำลัง ซึ่งก็เป็นสิทธิของเราที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง และสังคม ว่า เราจะทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดีเพียงใด ไม่ทำแค่เพียงรอคอยให้ใครบางคน กระโจนเข้ามาพร้อมกับม้าขาวและกำชะตาของสังคม บงการชีวิตของพวกเราทั้งหมด โดยที่เราได้แต่มองตาปริบๆ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยแต่เพียงน้อย ก็ตาม</div><div><br /></div><div>3.</div><div>แสน มิเป็นเพียงชาวลำปางทั่วๆไป แต่ยังถือว่าตัวเขาเกิดในราชตระกูล ณ ลำปาง อันเป็นเชื้อสายทางมารดาที่ชื่อ <b>เกี๋ยงแก้ว</b> บิดาชื่อ<b> ปัญญา </b>ได้เป็นบุตรบุญธรรมของ<b>เจ้าพ่อวงศ์ เจ้าแม่จันทร์เที่ยง คำฝั้นศิริ</b> อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า แสนจบจาก<b>โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย </b>ที่เขาเล่าว่า เมื่ออายุ 10 ขวบได้เป็นบรรณารักษ์ของโรงเรียนบุญวาทย์ฯ!!! เขายังได้ร่ำเรียนที่<b>โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี</b>ที่เป็นโรงเรียนคริสเตียนในลำปาง อันนับว่าเป็นโรงเรียนแนวหน้าในสมัยนั้น</div><div><br /></div><div>ความสัมพันธ์กับบ้านเกิดของเขา จังหวัดลำปาง ยังปรากฏอยู่ในจดหมายที่บรรยายได้ชัดเจนว่า “...ผมเป็นคนลำปางที่ชาวลำปางหลายร้อยคนกล่าวว่า ลืมลำปาง ซึ่งมีเค้า เพราะผมจากลำปางไปตั้งแต่เด็กๆ เป็นหนุ่มอยู่กรุงเทพฯกับเมืองนอก ทำงานในก.ท. 14 ปี เพิ่งมาอยู่ลำปาง 10 เดือน ก็เมื่อ 29 สิงหา คือตอนป่วยหนัก ปีกลายนี้ แต่ไม่เคยเนรคุณ สถานศึกษาเดิม...ถ้าตาย ก็เสียดายที่จะทำอะไรให้บ้านลำปางบ้าง แต่ยังไม่ได้ทำ...”(แกะจากลายมือจดหมาย ในโลกหนังสือ) </div><div><br /></div><div>ไม่เท่านั้นยังฝากฝังอยู่ในเรื่องสั้นและบทความด้วย ได้แก่ "รำพึงมาที่ลำปาง" (ลงใน บางกอก พ.ศ.2489) ประวัตินครลำปาง (ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2492 เป็นบรรณาการในงานหล่อพระพุทธรูปประจำหอพระธรรมและเทศน์มหาชาติชาดก ณ วัดเมืองสาส์น) ในประวัติฯมิวายที่จะฝากบทวิจารณ์พอแสบๆคันๆ ที่มุ่งวิจารณ์บ้านเมืองไว้ว่า </div><div><br /></div><div>“...วิเคราะห์ในฐานะเป็นเมืองชั้นเอก ถนนหนทางในนครลำปางจัดว่าทราม ฝุ่นขิ้นคลุ้งเป็นเมฆหมอก ปอดเมืองหรือสวนสาธารณะแห่งเดียวไม่มี บ้านเรือนและอาคารจัดสร้างกันโดยไม่รู้จักความงาม สถานศึกษาชั้นสามัญเจริญขึ้นมาก แต่อาชีวะศึกษาซึ่งควรขยายอย่างกว้างขวางยังล้าหลัง โรงพยาบาลของรัฐแพ้ โรงพยาบาลคณะมิชชั่น(โรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด-ผู้เขียน) สถาบรรณอื่นๆ อันดำเป็นสำหรับเมืองเอกยังขาดอีกมากมาย เช่น โรงงานผลิตน้ำประปา หอสมุด และหอปาฐกสาธารณะ วิทยาลัยอาชีวะชั้นสูง ฯลฯ...”</div><div><br /></div><div>ชีวิตช่วงหนึ่งของแสน ปรากฏใน<b>หนังสืออนุสรณ์ใสงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ดุสิต พานิชพัฒน์ </b>ลูกลำปางท่านหนึ่ง กล่าวถึงแสนว่า “…นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ<b>คุณสงวน สุจริตจันทร์ </b>ซึ่งเป็นญาติกัน เปิดสอนภาษาอังกฤษที่ถนนสายกลาง (ทิพย์ช้าง) ลำปาง และต่อมาก็ได้ร่วมกับ<b>คุณแสน ธรรมยศ </b>และ<b>คุณบุญเรียบ ศรีอ่อน</b> ตั้งโรงเรียน<b> GRAMMAR SCHOOL </b>เป็นโรงเรียนกลางคืนสอนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และคำนวณ…”(ระบุว่าอยู่ในช่วงปีพ.ศ.2476)</div><div><br /></div><div>แม้ว่า สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏลำปางจะเคยยกย่อง แสน ว่าเป็น ปัญญาชนนครลำปาง ในคราว 90 ปี ชาตกาลของเขา แต่ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขาไม่เพียงพอที่จำกัดอยู่แค่ลำปางเสียแล้ว ชีวิตและผลงานที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมทั้งการที่สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์ผลงานชิ้นสุดท้าย และชิ้นที่เขาภูมิใจที่สุด คือ Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม เป็นครั้งที่2 เมื่อปีที่แล้ว ควรจะเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า แสน ธรรมยศ คือ ปัญญาชนสยาม คนของประเทศ คนของแผ่นดินนี้ได้อย่างสมบูรณ์</div><div><br /></div><div><b>หนังสืออ่านเพิ่มเติม</b></div><div>"90 ปี ชาตกาล ปัญญาชนนครลำปาง ส.ธรรมยศ" ใน <b>กาสะลอง </b>จุลสารสำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบัน</div><div>ราชภัฏลำปาง ปีที่3 ฉบับที่6 กันยายน-ธันวาคม 2546</div><div><b>โลกหนังสือ </b>7 (เมษายน 2521)</div><div>ส.ธรรมยศ.<b> Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม</b>,กรุงเทพฯ:มติชน.2547.</div><div>ส.ธรรมยศ. <b>ประวัตินครลำปาง </b>พิมพ์เป็นบรรณาการในงานหล่อพระพุทธรูปประจำหอพระธรรมและเทศน์มหาชาติชาดก ณ วัดเมืองสาส์น นครลำปาง 1-5 ธันวาคม 2492, ลำปาง?.2492.</div><div>ส.ธรรมยศ.<b> เอแลน บาลอง และเรื่องสั้นที่สรรแล้ว</b>, กรุงเทพฯ:ดอกหญ้า.2531.</div><div><b>หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ ดุสิต พาณิชพัฒน์</b> ป.ช., ป.ม., ท.จ.ว.</div><div>...................</div><div>อย่างไรก็ตาม พบว่า ได้มีการพิมพ์<b> Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม</b> อีกครั้งในปี 2551 เ่ช่นเดียวกับ <b>ชีวิตและผลงานของ ส.ธรรมยศ</b> ที่เขียนโดย อสิธารา ก็ถูกมาตีพิมพ์ใหม่ในปีเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงการกลับมาให้ความสนใจอีกครั้งกับปัญญาชนสยามผู้นี้</div><div><br /></div><div>ผลงานของ ส.ธรรมยศ (ส่วนหนึ่ง)</div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; "><p><b>ก.ปรัชญา</b><br />บทนำแห่งปรัชญาศาสตร์ (Introduction to Philosophy) ตีพิมพ์ พ.ศ. 2485<br />ประวัติศาสตร์ปรัชญา อภิปรัชญา ศาสตร์ปรัชญา ปรัชญาฝ่ายปฏิบัตินิยม<br /><br /><b>ข. ประวัติศาสตร์</b><br />REX SIAMEN SIUM หรือ พระเจ้ากรุงสยาม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2495<br />ประวัตินครลำปาง<br />ลานนาไทยกับประวัติศาสตร์<br />ดร. ดิลกแห่งสยาม ดิลกนเทวราช<br /><br /><b>ค.ศิลปวรรณคดี</b><br />ศิลปแห่งวรรณคดี พิมพ์ครั้งแรก กันยายน พ.ศ. 2480<br />ปรัชญากับการกวี ตีพิมพ์ครั้งหลังในนิตยสารคุณหญิง เมษายน พ.ศ. 2516<br />เรื่องของวรรณคดี ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์<br /><br /><b>ง.งานวิจารณ์ </b><br />ศิลปะแห่งการวิจารณ์ พิมพ์ลงในหนังสือ "แม่ยมรำลึก ที่จังหวัดแพร่ ปี พ.ศ. 2508<br />ปรัชญาของท่านเทียนวรรณ "ก.ศ.ร. กุหลาบ"<br />ชีวิตและงาน ชีวิตและงานศรีปราชญ์<br />ความปราชญ์ของสุนทรภู่<br />วิจารณ์งานของ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ<br />วิจารณ์งานของหลวงวิจิตรวาทการ</p><p><b>จ. เรื่องสั้น<br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; ">แมงดา พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารยุคทองรายเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2492<br />หลงรูปสุดาพรรณ พิมพ์ครั้งแรกในเดลิเมล์วันจันทร์ พ.ศ. 2495<br />คำสาปวีนัส พิมพ์ครั้งแรกใน ปิยะมิตร พ.ศ. 2493 เสาชิงช้า (รวมเรื่องสั้น)<br /><span class="Apple-style-span" style="font-family: Georgia; ">เอแลน บาลอง และเรื่องสั้นที่สรรแล้ว, กรุงเทพฯ:ดอกหญ้า.2531.</span></span></b></p><p><b>ฉ. ประเภทอื่น ๆ</b><br />วิถีแห่งสันติภาพถาวร<br />ตำราเรียนอังกฤษวิธีลัดใน 90 ชั่วโมง<br />เทนนิสโต๊ะ ตีพิมพ์ครั้งหลังในนิตยสารคุณหญิง เมษายน พ.ศ. 2509<br />คู่มือวัณโรค</p></span></div><div>อ่านเรื่องของ ส.ธรรมยศ เพิ่มเติมได้ที่</div><div><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA._%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%A8">http://th.wikipedia.org/wiki/ส._ธรรมยศ</a></div><div><b><br /></b></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">ผู้สื่อข่าว</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><b>on Lampang :</b></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><b>เปิดโลกลำปาง</b></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;"><br /></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">เสาร์ 20</span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-size:small;">มิถุนา 52</span></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-54390809272498872008-12-13T14:10:00.008+07:002008-12-18T12:48:46.272+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : รถม้าคราหนึ่ง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjACyGZcLWypH80HSnrPsJzVK39WIy81a-Vt9U6mKTS5zsQs-wuCmPHKD02WY74wi_sZQBSt4AfqIbcvd3Tm2MNmOjkObhDMMDL-J1bV2l71KCj2PMf84GTVplmUFpB90TpQ-0R9Z7wXSbn/s1600-h/รถม้ารถไฟ.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279179141631413186" style="WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjACyGZcLWypH80HSnrPsJzVK39WIy81a-Vt9U6mKTS5zsQs-wuCmPHKD02WY74wi_sZQBSt4AfqIbcvd3Tm2MNmOjkObhDMMDL-J1bV2l71KCj2PMf84GTVplmUFpB90TpQ-0R9Z7wXSbn/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-size:85%;">รถม้าจอดบริเวณงานรถไฟรถม้าลำปาง ณ สถานีรถไฟนครลำปาง<br />ที่มาภาพ : </span><a href="http://www.thainewsland.com/images/th/24244.jpg"><span style="font-size:85%;">http://www.thainewsland.com/images/th/24244.jpg</span></a><br /><br /><strong><span style="font-size:130%;">รถม้าคราหนึ่ง</span></strong><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 197 วันที่ 4-10 สิงหาคม 2551 หน้า 7</span><br /><br />หากพูดถึงลำปาง คนทั่วไปมักจะนึกถึง<strong> “รถม้า”</strong> สัญลักษณ์อันโดดเด่น ซึ่งมีเหลืออยู่เพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีรถม้ารับจ้างวิ่งไปตามท้องถนนให้บริการแก่ผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน<br /><br />ใครจะรู้หรือไม่ว่ากว่ารถม้าจะอยู่ยืนยาวคู่ลำปางมาถึงทุกวันนี้ ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานหลายครั้งหลายคราจนเกือบจะมีการยกเลิกกิจการไปแล้ว<br /><br />ผมได้พบบันทึกของ<strong>ขุนอุทานคดี(ประยูร ขันธรักษ์)</strong> <strong>อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร</strong>และ<strong>นายกสมาคมรถม้าลำปางคนแรก</strong>เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า เมื่อรถไฟมาถึงลำปาง<strong> พ.ศ.2459</strong> <strong>แขกชาวปากีสถาน</strong>ได้เอารถม้าจากกรุงเทพฯมารับจ้างรับส่งผู้โดยสารซึ่งไม่เคยมีมาก่อน<br /><br />แต่พวกแขกเหล่านี้ชอบวิวาทและก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้โดยสารเป็นประจำ โดยอ้างตัวว่าเป็น<strong>คนในบังคับอังกฤษ</strong>ซึ่งมีอิทธิพลมากในสมัยนั้นและมักเกิดเหตุยุ่งยากอยู่เป็นประจำสร้างภาระหนักให้แก่ตำรวจและอำเภอจนต้องมีการปราบปราม ในที่สุดพวกแขกเหล่านี้ต้อง<strong>ขายรถม้าให้คนลำปางเอาไปรับจ้างจนหมดราวปี พ.ศ.2478</strong> ทำให้คนลำปางได้เป็นผู้ขับรถม้ากันอย่างแพร่หลาย<br /><br />อย่างไรก็ตามในช่วง ปี พ.ศ.2480-2483 ขณะที่ขุนอุทานคดี ดำรง<strong>ตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองลำปาง </strong>ทางตำรวจมีแนวความคิดจะให้เลิกรถม้ารับจ้างโดยจะงดออกใบอนุญาตขับขี่ ตำรวจอ้างว่า <u>ม้าขับถ่ายเรี่ยราด ทำให้ถนนสกปรกและคนขับรถม้ามีอิทธิพลสร้างความเกรงกลัวให้แก่คนขับสามล้อรับจ้าง<br /></u>ทางราชการจึงต้องการสนับสนุนให้มีรถสามล้อขึ้นมาแทนเพื่อให้เห็นว่า ลำปางมีความทันสมัยมากขึ้นเพราะความคิดของตำรวจ เห็นว่ารถม้าดูล้าสมัยนั่นเอง<br />ขุนอุทานคดีในฐานะนายกเทศมนตรีเมืองลำปางได้คัดค้านแนวความคิดนี้โดยเห็นว่า เรื่องการถ่ายมูลของสัตว์ไม่ใช่เฉพาะแต่ม้าแต่โคล้อก็ถ่ายเช่นกันและรถม้าก็ไม่ได้ซื้ออะไหล่มาจากต่างประเทศ ส่วนหน้าที่การรักษาความสะอาดตามท้องถนนเป็นของเทศบาลไม่ใช่เรื่องของตำรวจที่ต้องมาเดือดร้อน<br /><br />อีกประการหนึ่งการเลิกกิจการรถม้าจะเป็นการตัดอาชีพของเจ้าของและคนรับจ้างขับรถม้าตลอดจนครอบครัวที่มีกว่าพันชีวิต รถม้าจะถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ คนกลุ่มนี้ก็จะไม่มีงานทำและอาจจะออกไปประกอบอาชีพทางทุจริตซึ่งจะเป็นภาระหนักให้แก่ตำรวจ<br /><br />การคัดค้านของขุนอุทานคดีส่งผลให้ในที่สุดตำรวจต้องยอมยุติความคิดดังกล่าว ต่อมาได้มีการตั้ง<strong>สมาคมรถม้าลำปาง</strong>ขึ้น เพื่อสร้างความเป็นระเบียบให้แก่ผู้ขับรถม้ารับจ้าง<br /><br />ขุนอุทานคดีได้เล่าอีกว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รถม้าเป็นประโยชน์แก่คนลำปางเป็นอันมาก ขณะนั้นน้ำมันหายากและเครื่องอะไหล่รถยนต์แพงมาก รถยนต์และรถสามล้อจึงไม่เป็นที่นิยมใช้ จึงทำให้คนขับรถม้ามีรายได้งาม <u>ถึงขั้นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้นขอให้ขุนอุทานคดีช่วยติดต่อซื้อรถม้าจากลำปางไปให้ทางกรุงเทพฯ แต่ไม่มีคนลำปางรายใดยอมขายให้</u><br /><br />เมื่อสงครามโลกสงบราวปีพ.ศ.2485 รถม้าได้กลับมาเป็นสิ่งที่สร้างความบันเทิงเริงใจให้แก่คนลำปาง ที่มักชอบนั่งรถม้าชมเมืองหรือใช้เพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน เพราะมีราคาไม่แพงนัก เช่น <strong>จากสบตุ๋ยไปถึงในตัวเมืองค่าโดยสาร 1 สตางค์</strong> ใครอยากรู้ว่าเงิน 1 สตางค์มีมูลค่าเท่าไหร่ ในสมัยนั้น 1 สตางค์ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 1 ชาม <strong>อาจจะเท่ากับ 20-25 บาทในปัจจุบันนี้<br /></strong><br />ต่อมาในช่วงปี พ.ศ.2510 ทางราชการมีการกวดขันรถม้าและมีความพยายามจะยกเลิกอีกครั้งเพราะเห็นว่ารถม้าล้าสมัย ทำให้คนขับรถม้าต้องร้องทุกข์ไปยังรัฐบาลเพื่อขอให้สั่งระงับการบีบบังคับ บางครั้งพวกคนขับรถม้ารับจ้างซึ่งกำลังจะถูกตัดอาชีพก็แสดงปฏิกิริยาออกอย่างรุนแรง เช่น พากันก่อกวนให้รถยนต์ชนเพื่อเอาค่าเสียหายให้พอกับค่ารถม้า เป็นต้น<br /><br />ขุนอุทานคดีได้เล่าทิ้งท้ายในเรื่องนี้ว่า บัดนี้รถม้ากลับเป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติให้แก่ลำปาง แม้กระทั่งคนต่างจังหวัดและชาวต่างประเทศก็อยากเห็นและขึ้นรถม้า ในประเทศไทยมีรถม้าเหลือเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เชื่อว่า ในต่างประเทศก็คงหาได้ยากเช่นกัน<br /><br />จากที่ขุนอุทานคดีเล่ามาทำให้ผมคิดว่า ในสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงสุดขีดขณะนี้ บางทีรถม้าหรือม้าอาจช่วยเป็นทางเลือกในการเดินทางให้กับคนลำปางอีกทางหนึ่ง เสียอย่างเดียวที่บัดนี้รถม้าได้กลายเป็นเพียงสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวที่มิใช่ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะดังเช่นอดีตอีกแล้ว<br /><br />จริงๆแล้วเชื่อว่าคนลำปางจำนวนไม่น้อยคงอยากจะขึ้นรถม้ากัน แต่คงสู้ราคาไม่ไหว ก็ได้แต่ภาวนาว่า ... เมื่อไหร่หนอ “รถม้า” จะกลับมาเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวันของคนลำปางอีกครา<br /><br /><strong>ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น</strong><br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br />เรื่องรถม้าลำปาง มีอยู่หลายสำนวนการเขียน สามารถอ่านเรื่องรถม้าเพิ่มเติมได้อีกที่</div><div>1. <a class="maintitle" href="http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2608&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=">ภาพจากอดีต : รถม้าลำปาง</a><br />และ<a href="http://onlampang.blogspot.com/2008/09/2498.html">เรื่องเล่ารถม้าลำปาง "เก็บตกจาก วารสารคนเมือง พ.ศ.2498"</a><br /><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลมาจากวารสาร “ คนเมือง ” ฉบับพิเศษรายเดือนปีที่ 2 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ.2498)</span></div><div>2. <a href="http://www.geocities.com/gigga2001th/l1/horse.html)">ประวัติรถม้าลำปาง</a></div><div><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจากเว็บ รอบรู้เมืองลำปาง โดยผู้ใช้อีเมล์ว่า <a href="mailto:jhk113@hotmail.com">JHK113@hotmail.com</a></span><span style="font-size:85%;">)</span><br />3. <a href="http://www.lannacorner.net/weblanna/article/article.php?type=A&ID=153">"รถม้า"เสน่ห์เมืองลำปางที่ยังมีลมหายใจ</a></div><div><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจากเว็บล้านนาคอร์เนอร์ </span><span style="font-size:85%;">ซึ่ง อ้างอิงว่านำมาจากเว็บผู้จัดการอีกทีหนึ่ง )<br /></span>4. <a href="http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=56089">ประวัติรถม้าลำปาง</a> โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ </div><div><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจาก นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2550[คนละสำนวนกับข้อ 3]</span><span style="font-size:85%;">)</span></div><div>5. <a href="http://www.yonok.ac.th/santi/tour.htm">การท่องเที่ยวและความยั่งยืนของรถม้าลำปาง </a>โดย สันติ บางอ้อ </div><div><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจาก บทความของ สันติ บางอ้อ อธิการบดีมหาวิทยาลัยโยนก พฤศจิกายน 2550 )<br /><span style="font-size:100%;">6. </span><a href="http://www.idealanna.com/index.php?mo=3&art=102037"><span style="font-size:100%;">รถม้าลำปาง</span></a><a href="http://www.idealanna.com/index.php?mo=3&art=102037"> </a></span><br /><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจาก เว็บ ไอเดียล้านนา </span><span style="font-size:85%;">)</span><br />7. <a href="http://www.teawmuangthai.com/lampang/004/">ชมเมืองบนรถม้า </a>แนะนำข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวด้วยรถม้าลำปาง </div><div><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจาก เว็บเที่ยวเมืองไทย)</span><br /><br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง<br /></strong><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-57218168795914339832008-12-13T14:04:00.005+07:002008-12-18T12:48:06.476+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : วันพ่อเจ้าทิพย์ช้าง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtisufZC7U77enknWPGtBhhTxfxLdoo-lSFABeUjKnGHg9AUdC9i8hRI6Y6JBHGvBe9Bs1DxuWyAQEM2S_ECdpDQSiH7mgnHkLZsHiCA8rgVvB688FXvX_8vPISgFyuBrVS9M9nWDztI0N/s400/เจ้าพ่อทิพย์ช้าง02.jpg"><img style="WIDTH: 260px; CURSOR: hand; HEIGHT: 400px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtisufZC7U77enknWPGtBhhTxfxLdoo-lSFABeUjKnGHg9AUdC9i8hRI6Y6JBHGvBe9Bs1DxuWyAQEM2S_ECdpDQSiH7mgnHkLZsHiCA8rgVvB688FXvX_8vPISgFyuBrVS9M9nWDztI0N/s400/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8702.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">อนุสาวรีย์พ่อเจ้าทิพย์ช้าง ติดถนนไฮเวย์ลำปาง-เชียงราย จ.ลำปาง เปิดอนุสาวรีย์ปี 2524</span><br /><span style="font-size:85%;">ที่มาภาพ : <a href="http://olphistory.blogspot.com/">http://olphistory.blogspot.com/</a></span><br /><div><br /><span style="font-size:130%;"><strong>วันพ่อเจ้าทิพย์ช้าง</strong></span></div><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 195 วันที่ 21-27 กรกฎาคม 2551 หน้า 7<br /><br /></span>วีรกรรมของ<strong>หนานทิพย์ช้าง</strong> พรานป่าผู้เก่งกล้าใช้ปืนยิงท้าวมหายศ แม่ทัพพม่า ถึงแก่ความตายที่วัดพระธาตุลำปางหลวงและนำกำลังขับไล่จนกองทัพพม่าที่มาบุกเมืองนครลำปางต้องแตกพ่ายไป ถือเป็นฉากสำคัญอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์การต่อสู้ศึกพม่าของชาวลำปาง<br /><br />ต่อมาประชาชนพร้อมใจกันยกให้เป็น“เจ้าทิพย์ช้าง”ปกครองเมืองนครลำปางและถือเป็นต้นตระกูลเจ้าเจ็ดตน คนลำปางได้รับรู้เรื่องราวของพ่อเจ้าทิพย์ช้างเป็นตำนานเล่าขานมาเนิ่นนาน จนกระทั่งในสมัยของ<strong>นายชูวงศ์ ฉายะบุตร</strong> เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้ร่วมมือกับพ่อค้าประชาชนทุกหมู่เหล่าดำเนินการจัดสร้างอนุสาวรีย์ของพ่อเจ้าขึ้นบนพื้นที่ 5 ไร่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะพ่อเจ้าทิพย์ช้างในปัจจุบัน<br /><br />โดยในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2527 <strong>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี</strong> ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวลำปางเป็นอย่างยิ่ง<br /><br />แม้ว่าเรื่องราวของพ่อเจ้าทิพย์ช้างจะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่ งาน<strong>“วันป๋าเวณีพ่อเจ้าทิพย์ช้าง”</strong>ที่กลุ่มลูกหลานสืบสานเชื้อสายเจ้าเจ็ดตน ทั้ง <strong>ณ ลำปาง, ณ ลำพูน, ณ เชียงใหม่</strong> และ<strong>สายตระกูลเจ้านายฝ่ายเหนืออื่นที่เกี่ยวข้อง</strong><br /><br />ได้จัดงานป๋าเวณีขึ้นใน<strong>วันที่ 18 กรกฎาคม ของทุกปี ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง</strong> อันถือเป็นวัดของต้นตระกูลเจ้าเจ็ดตน ยังเป็นกิจกรรมที่สังคมลำปางไม่ได้รับรู้กันอย่างกว้างขวางมากนัก จึงขอเล่าที่มาของงานวันดังกล่าว ดังนี้<br /><br /><strong>งานวันป๋าเวณีพ่อเจ้าทิพย์ช้างเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2507</strong> แล้ว<br /><br />เมื่อครั้ง<strong> พระเพ็ชรคีรีศรีราชสงคราม (เจ้าแก้วเมืองไท ณ ลำปาง)</strong> เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของตระกูล ณ ลำปางหรือที่คนลำปางเรียกท่านว่า <strong>“เจ้าพ่อพระเพ็ชรฯ”</strong> ยังมีชีวิตอยู่<br /><br />ท่านได้ทราบเรื่องราวอัศจรรย์ตามนิมิตของ<strong>อาจารย์ไสว ธรรมโรจนานนท์</strong> ผู้ทรงญาณพิเศษ ว่า<u> มีชายคนหนึ่งแต่งกายแบบนักรบสะพายดาบคู่ไขว้หลังได้ขอให้ไปบอกลูกหลานตระกูล ณ ลำปางว่า ได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ไว้ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง พระพุทธรูปองค์นี้ถูกเก็บไว้บนเตียงในที่แคบและสั้น จนพระบาทและพระเศียรเกยเตียงมีสภาพชำรุดหน้าอกแตก<br /></u><br />เจ้าพ่อพระเพ็ชรฯ พร้อมด้วยเจ้านายบุตรหลานตระกูล ณ ลำปาง จึงเดินทางไปที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จนได้พบ<strong>พระพุทธไม้แก่นจันทน์ปางไสยยาสน์</strong> อยู่ในสภาพเก่าชำรุดพระอุระร้าว ตามที่ผู้ทรงญาณพิเศษบอกไว้ และทราบจากเจ้าอาวาส อีกว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระประจำวันเกิดของพ่อเจ้าทิพย์ช้าง<br /><br />เมื่อทราบเช่นนั้น เจ้านายบุตรหลานต่างมีความยินดีที่จะบูรณะให้สมบูรณ์และได้ทำพิธีสมโภชแบบล้านนาขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2507 การทำพิธีดังกล่าวในช่วงกลางคืนของวันที่ 17 กรกฎาคมได้เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นโดยดวงพระธาตุเจ้าลอยมาในท้องฟ้าและเสด็จกลับประมาณเวลาตีสอง<br /><br />นอกจากนี้ในช่วงย่ำรุ่งของวันที่ 18 กรกฎาคม ขณะที่พระสงฆ์สวดเบิกวาระสุดท้ายอันเสร็จสิ้นพิธีพุทธาภิเษก ก็บังเกิด<strong>“ฉพรรณรังษี”</strong> คือพระธาตุเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เปล่งรัศมีเป็นปรายพวยพุ่ง วนเวียนรอบๆพระเจดีย์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง<br /><br />ในโอกาสนี้เจ้านายฝ่ายเหนือชั้นผู้ใหญ่นำโดย <strong>เจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ เจ้าศรีรัตน์ ณ ลำปาง</strong>และเจ้านายบุตรหลาน พร้อมใจกันฟ้อนถวายด้วยลีลาถวายหัตถ์เป็นพุทธบูชา<br /><br />การที่ <strong>“พระธาตุเจ้าได้เสด็จออก”</strong> ซึ่งโดยปกติมักจะเกิดขึ้นเฉพาะคืนวันเพ็ญหรือวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น นับเป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง<br /><br />ด้วยเหตุนี้ เจ้าพ่อพระเพ็ชรฯจึงได้แจ้งแก่เจ้านายบุตรหลานในสายตระกูลให้ถือเอาวันที่ 18 กรกฎาคมของทุกปี เป็น <strong>“วันป๋าเวณีพ่อเจ้าทิพย์ช้าง”</strong> ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยให้วันดังกล่าวมีพิธีแสดงความกตัญญูกตเวทีและอุทิศส่วนกุศลแด่พ่อเจ้าทิพย์ช้าง ต้นตระกูลเจ้าเจ็ดตน<br /><br />แม้ว่างานวันป๋าเวณีดังกล่าวจะมีที่มาจากความเชื่อและปรากฏการณ์แบบปาฏิหาริย์ แต่ก็ได้เป็นประเพณีที่ปฏิบัติมากว่า 40 ปีแล้ว และถือเป็นวันรวมกลุ่มของเจ้านายบุตรหลานที่สืบเชื้อสายเจ้าเจ็ดตนให้มาพบปะพร้อมหน้ากัน<br /><br />ที่สำคัญควรเป็นวันที่คนลำปางจะได้พร้อมใจกันรำลึกถึงพ่อเจ้าทิพย์ช้าง ผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อชาวลำปางทั้งมวลอีกด้วย<br /><br /><strong>ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น</strong><br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a> <div>.............................<br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-size:100%;">ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพ่อเจ้าทิพย์ช้าง</span></span></div><div><span style="font-size:85%;"><span style="font-size:100%;">1. <a href="http://www.lampangcity.go.th/travel_lampang/show_detail.php?Travel_Id=311&Category=TravelPlace&CategoryName=%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7">อนุสาวรีย์พ่อเจ้าทิพย์ช้าง</a> ริมถนนไฮเวย์ลำปาง-เชียงราย<br /><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจาก เทศบาลนครลำปาง)</span><br />2. <a href="http://www.mfuzone.com/nboard/index.php?s=fd3455a56e7ccee90e0c20473661d1f7&showtopic=1756&st=0&p=120958&#entry120958">ต้นตระกูลเชื้อเจ็ดตน</a><br /><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจากเว็บบอร์ด มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชียงราย)</span><br />3. <a href="http://www.lampangceo.com/lampang_poc/report/sar/report/report.php?id=sm020302">ป๋าเวณี (ประเพณี) บวงสรวงพ่อเจ้าทิพย์ช้าง</a><br /></span></span><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจากเว็บลำปางซีอีโอ)</span></div><div><span style="font-size:85%;"><span style="font-size:100%;">4. </span><a href="http://www.oknation.net/blog/vihokpludtin/2007/09/24/entry-1"><span style="font-size:100%;">ป้อเจ้าหนานติ๊บจ๊าง ผู้กู้บ้านแป๋งเมืองนครลำปาง (การ์ตู๋นงาม ๆ จากอาทมาตครีเอชั่น..)</span></a><br /><span style="font-size:100%;"><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจากเว็บบล็อกโอเคเนชั่น เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2550)</span><br />5. </span><a href="http://onlampang.blogspot.com/2007/12/blog-post.html"><span style="font-size:100%;">"หนานทิพย์ช้าง วีรบุรุษแห่งเขลางค์นคร" การ์ตูนที่เอามาฝาก</span></a><span style="font-size:100%;"> </span><a href="http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1292"><span style="font-size:100%;"><br /></span></a><span style="font-size:100%;"><span style="font-size:85%;">(ข้อมูลจาก <strong>on Lampang</strong> โพสต์เมื่อ 27 ธันวาคม 2550)<br /></span>6. </span><a href="http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1292"><span style="font-size:100%;">หนาน ทิพย์ช้าง</span></a><br />(ข้อมูลจากเว็บบอร์ด <a href="http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1292">http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1292</a>)<br /><br />ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง</strong><br /><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-49112325523086602412008-12-13T13:56:00.004+07:002008-12-18T12:47:09.730+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : ปริศนาแห่งคุ้มหลวง (2)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiylQIEZpOMolvysRYGIT_BxyfSTi0nld-t6Exq8k0YR9txIZwrdBsXm5gqL8zmfKhxRFaGH8-q1NxKGnN1XUYFfFwlrrN-tqoQyP4jxVyTUeq_6aidNKPq6gyEDJwIiEoKOEF1xntbYK2B/s400/เจ้าพ่อบุà¸à¸§à¸²à¸—ย์บนม้าsmall.jpg"><img style="WIDTH: 252px; CURSOR: hand; HEIGHT: 301px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiylQIEZpOMolvysRYGIT_BxyfSTi0nld-t6Exq8k0YR9txIZwrdBsXm5gqL8zmfKhxRFaGH8-q1NxKGnN1XUYFfFwlrrN-tqoQyP4jxVyTUeq_6aidNKPq6gyEDJwIiEoKOEF1xntbYK2B/s400/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2small.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายแห่งนครลำปาง<br />ที่มาภาพ : หนังสืออนุสรณ์ 100 ปี โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย, 2541<br /></span><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">ปริศนาแห่งคุ้มหลวง (2)<br /></span></strong><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 189 วันที่ 9-15 มิถุนายน 2551 หน้า 7</span><br /><br />เรื่องราวของหม่อมวาทย์ในเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางคนสุดท้าย ที่ผมอ่านพบในหนังสืออนุสรณ์งานศพของครูบุญปั๋น โชติกะกุล ได้นำเสนอไปเมื่อตอนที่แล้ว<br /><br />หนังสือดังกล่าวเล่าต่อไปว่า เมื่อราวปลายปี พ.ศ.2452 <strong>แม่เฒ่าขันคำ</strong> มารดาของหม่อมวาทย์ได้ป่วยหนัก หม่อมจึงขออนุญาตจากพ่อเจ้าออกจากคุ้มหลวงนครลำปาง ไปอยู่ที่บ้านของมารดาเพื่อดูแลปรนนิบัติรักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างใกล้ชิด<br /><br />ประจวบกับในช่วงเวลานั้น พ่อเจ้าบุญวาทย์ฯต้องเดินทางไปร่วม<strong>งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 </strong>ที่กรุงเทพมหานคร และการเดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ-นครลำปางในสมัยนั้นใช้เวลานับแรมเดือนเพราะรถไฟสายเหนือยังมาไม่ถึงนครลำปาง<br /><br />ขณะนั้นเองมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คือ หม่อมวาทย์ได้ให้กำเนิดธิดาคนที่สอง ณ บ้านของแม่เฒ่าขันคำ ผู้เป็นมารดา โดยหนังสือข้างต้นอ้างว่า หม่อมไม่ทราบมาก่อนว่ามีลูกติดท้องมาด้วย จึงให้กำเนิดธิดาในระหว่างที่พ่อเจ้าไม่อยู่ที่นครลำปาง<br /><br />จนกระทั่งเมื่อพ่อเจ้ากลับมาถึงนครลำปาง หนังสือเล่าว่าได้มีผู้ยุแหย่ว่า<strong>“ลูกที่เกิดไม่ใช่ลูกของพ่อเจ้า”</strong> กอปรกับการเดินทางที่ยากลำบากระหว่างกรุงเทพฯ-นครลำปาง ส่งผลให้สุขภาพร่างกายของพ่อเจ้าเสื่อมโทรม อีกทั้งหม่อมวาทย์ถูกกีดกันไม่ให้เข้าพบ<br /><br />หนังสือยังอ้างอีกว่า ด้วยเหตุที่พ่อเจ้ามีสุขภาพที่ทรุดโทรมลงไปตามลำดับและต้องเดินทางไปรักษาตัวในกรุงเทพฯเป็นเวลานานและบ่อยครั้งขึ้น ในที่สุดพ่อเจ้าได้แนะนำให้หม่อมวาทย์ซึ่งขณะนั้นอายุยังน้อย แต่งงานใหม่ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้มีผู้ดูแลคุ้มครองและขจัดปัญหาทั้งปวงที่เกิดขึ้น<br /><br />หม่อมวาทย์จึงได้สมรสใหม่กับ<strong>นายศรีอู๊ด โชติกะกุล </strong>บุตรชาย<strong>พ่อเลี้ยงหม่องโพขิ่น</strong> คหบดีผู้ได้รับสิทธิ์การตั้ง<strong>บริษัทไฟฟ้าในนครลำปาง</strong> ซึ่งมีความสนิทสนมในทางธุรกิจกับพ่อเจ้า ภายหลังหม่อมได้ให้กำเนิดบุตรและธิดาเพิ่มอีก 3 คน ชื่อ <strong>บุญหยด บุญดำรง</strong> และ <strong>อำไพพรรณ<br /></strong><br />เรื่องราวใหญ่โตดูเหมือนจบอย่างเรียบร้อย ซึ่งคงเป็นปกติของหนังสืออนุสรณ์งานศพที่มักจะเลือกนำเสนอแต่เฉพาะแง่มุมในเชิงบวกต่อผู้วายชนม์หรือผู้เกี่ยวข้องเสมอ จึงเป็นสิ่งที่ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณประกอบในการอ่าน<br /><br />ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึง ชีวิตของธิดาคนที่สองของหม่อมวาทย์ ซึ่งก็คือ<strong> “ครูบุญปั๋น”</strong> ผู้วายชนม์ ได้ระบุว่า เป็นบุตรีลำดับที่ 7 ของพ่อเจ้าบุญวาทย์ฯ เมื่ออายุได้ 8 ขวบเข้าศึกษาที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดลำปางหรือโรงเรียนลำปางกัลยาณีในปัจจุบัน ขณะนั้นตั้งอยู่ที่บริเวณ<strong>บ้านปงสนุก<br /></strong><br />ต่อมาเมื่ออายุได้ 11 ปี หม่อมวาทย์ได้ส่งไปศึกษาต่อที่<strong>โรงเรียนเบญจมราชาลัย กรุงเทพมหานคร</strong> ในแผนกการเรือน มีนายศรีอู๊ด ผู้เป็นสามีพาธิดาคนนี้ไปมอบตัวและได้ลงทะเบียนว่า <strong>“นางสาวบุญปั๋น โชติกะกุล”</strong> เป็นธิดาของนายศรีอู๊ดด้วย<br /><br />ครั้นเมื่อสำเร็จการศึกษา บุญปั๋นได้กลับมาทำงานเป็นครูที่<strong>โรงเรียนลำปางกัลยาณี</strong> ตั้งแต่ปี พ.ศ.2472-2489 ต่อมาลาออกจากราชการ แต่ยังคงรักการสอนจึงมาเป็นครูที่<strong>โรงเรียนพินิจวิทยา</strong> จนกระทั่งถึง ปี พ.ศ.2502<br /><br />ภายหลังเข้าปฏิบัติธรรมเป็นศิษย์รุ่นแรกของ<strong>หลวงพ่อเกษม เขมโก</strong> พระสงฆ์รูปสำคัญที่ชาวลำปางให้ความเคารพนับถือผู้มีเชื้อสายของเจ้านายในตระกูล ณ ลำปาง โดยหลวงพ่อเกษม เป็นบุตรของ<strong>เจ้าแม่จ้อน ณ ลำปาง</strong> ซึ่งมีความสนิทสนมรักใคร่เป็นอย่างดีกับหม่อมวาทย์ มารดาของครูบุญปั๋น<br /><br />ในชีวิตของผู้วายชนม์คงได้รับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ถึงชาติกำเนิดของตน ดังพบข้อความหนึ่งว่า <strong>“เรื่องที่มีผู้ไม่หวังดีชอบกล่าวว่า ใครเป็นบิดาอย่างแท้จริงของครูบุญปั๋นนี้ หลวงพ่อเกษม ผู้สำเร็จอภิญญา มีอตังตีสญาณ ล่วงรู้ถึงอดีตได้ออกประกาศแก่ลูกศิษย์ของท่านว่าให้ทุกคนเรียก ครูบุญปั๋น ว่า “เจ้าบุษบาร” ตามนิมิตที่พ่อเจ้าบุญวาทย์ฯมาปรากฏนี้”</strong><br /><br />เมื่ออ่านหนังสือโดยตลอดย่อมเข้าใจถึง น้ำเสียงที่ต้องการยืนยันอย่างหนักแน่นในฐานะ <strong>“ความเป็นเจ้า”</strong> ให้แก่ผู้วายชนม์ ซึ่งมิใช่เป็นเพียงเจ้านายธรรมดาแต่มีฐานะ “เจ้าหญิง” เป็นหนึ่งในธิดาของเจ้าผู้ครองนครลำปางคนสุดท้าย<br /><br />เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาต่อไป แต่ในหน้าปกของหนังสือเล่มนี้ได้ให้ชื่อแก่ผู้วายชนม์อีกชื่อหนึ่งที่แทบไม่มีใครเรียกขานกันว่า <strong>“เจ้าบุษบาร ณ ลำปาง”</strong> เพื่อให้เกียรติถึงความเป็น <strong>“เจ้า”</strong> ในฉากสุดท้ายแห่งชีวิตของผู้วายชนม์<br /><br /><strong>ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น<br /></strong><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง</strong><br /><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-51854964149311809022008-12-13T13:26:00.006+07:002008-12-18T12:49:38.986+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : ปริศนาแห่งคุ้มหลวง (1)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJNccPPlItoy8QAhpGFZU4mtGOEqt3LJF0vLA1PxDRco6qzFeOSaVh01fJAHiBnZnM9DAd4SB9hZKvq23qf75bKK7Zt8N8j92uW9sHn_VVY-sUw7I_d2pmlslqv0ClPbw1ESlmz4KOUYLr/s400/หอคำ.jpg"><img style="WIDTH: 394px; CURSOR: hand; HEIGHT: 286px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJNccPPlItoy8QAhpGFZU4mtGOEqt3LJF0vLA1PxDRco6qzFeOSaVh01fJAHiBnZnM9DAd4SB9hZKvq23qf75bKK7Zt8N8j92uW9sHn_VVY-sUw7I_d2pmlslqv0ClPbw1ESlmz4KOUYLr/s400/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B3.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">หอคำนครลำปาง<br />ที่มาภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ พระนคร</span><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">ปริศนาแห่งคุ้มหลวง (1)<br /></span></strong><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 187 วันที่ 26 พฤษภาคม-1 มิถุนายน 2551 หน้า 7<br /></span><br />มีความลับของตระกูล ณ ลำปาง ซ่อนอยู่ใน<strong>หนังสืออนุสรณ์งานศพของครูบุญปั๋น โชติกะกุล</strong> (พ.ศ.2453-2537) ครูอาวุโสคนหนึ่งของลำปาง ซึ่งผมได้บังเอิญพบเข้าและเรื่องดังกล่าวเกี่ยวพันโดยตรงกับ<strong> “พ่อเจ้า” เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต</strong> <strong>เจ้าผู้ครองนครลำปางคนสุดท้าย</strong><br /><br />หนังสือเล่มนี้เสนอเรื่องราวของเจ้านายลำปางซึ่งยังไม่เป็นที่รับรู้กันในวงกว้างมากนัก โดยเริ่มต้นเล่าถึง มารดาของครูบุญปั๋น โชติกะกุล ผู้วายชนม์ ซึ่งมีนามว่า <strong>“บุญหลง”</strong> เธอเป็นเด็กสาวที่ได้ติดตามมารดาของตนชื่อ <strong>“แม่เฒ่าขันคำ”</strong> เข้ามาอยู่ในคุ้มหลวงนครลำปางตั้งแต่อายุเพียง 10 ปี<br /><br /><strong>แม่เฒ่าขันคำ</strong> เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการออกแบบผ้าซิ่นตีนจก สามารถใช้ไหมทองและไหมเงินทอเป็นผ้าซิ่นได้อย่างงดงาม จึงมีหน้าที่เป็นผู้สอนการทอผ้าให้แก่ช่างทอประจำโรงทอผ้าของคุ้มหลวง<br /><br />ส่วน<strong> “บุญหลง”</strong> บุตรสาวของแม่เฒ่า เป็นเด็กสาวสวยหน้าตาดีมีรูปร่างสูงเพรียวงดงาม ซึ่งในเวลาต่อมาเธอได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปฝึกเล่นละครในโรงละครแห่งคุ้มหลวง ที่นั่นมีเด็กสาวหน้าตาดีเข้าไปฝึกเล่นละครเป็นจำนวนมาก<br /><br />โรงละครภายในคุ้มหลวงเป็นสถานที่ซึ่ง <strong>“พ่อเจ้า”</strong> เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิตและเจ้านายบุตรหลานมักมาชมการแสดงเป็นประจำ ละครที่แสดงเป็นทั้งละครร้องและละครรำเป็นแบบที่นำมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากในสังคมลำปางขณะนั้น ผู้มาเข้าชมส่วนมากเป็นเจ้านายหรือข้าราชการเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปแทบไม่มีสิทธิเข้ามาชมการแสดง<br /><br /><strong>“บุญหลง”</strong> ธิดาของแม่เฒ่าขันคำ มีโอกาสได้เป็นตัวเอกของเรื่องอยู่หลายคราว ทำให้เธอเป็นที่รู้จักอย่างดีของเจ้านายบุตรหลานโดยทั่วไป<br /><br />เมื่อภายหลัง<strong>แม่เจ้าเมืองชื่น ณ ลำปาง</strong> ชายาของพ่อเจ้าถึงแก่กรรมไปไม่นาน ขณะนั้นบุญหลงอายุ 15 ปี ก็ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในหม่อมของพ่อเจ้าและได้รับชื่อใหม่ว่า <strong>“หม่อมวาทย์”</strong><br /><br />หนึ่งปีภายหลังการปรนนิบัติรับใช้พ่อเจ้า ในปี พ.ศ.2444 หม่อมวาทย์ได้ให้กำเนิด <strong>“เจ้าหญิงบุษบา ณ ลำปาง”</strong> ธิดาคนแรกในคุ้มหลวงนครลำปาง สร้างความดีใจให้แก่พ่อเจ้าเป็นอย่างมาก ส่งผลให้พ่อเจ้ามอบบ้านและที่ดินรวมทั้งเงินทองจำนวนหนึ่งให้แก่แม่เฒ่าขันคำ มารดาของหม่อมวาทย์ ซึ่งบ้านที่มอบให้นั้นเป็นบ้านหลังที่ได้พักอาศัยต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นของผู้วายชนม์<br /><br />หม่อมวาทย์ได้ทำงานรับใช้พ่อเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าหญิงบุษบา จนกระทั่งเติบใหญ่ ภายหลังเมื่อเจ้าหญิงอายุได้ 16 ปีได้สมรสกับ<strong>เจ้าดรุณดารา ณ ลำพูน</strong> และย้ายไปอาศัยอยู่กับสามีที่เมืองลำพูน<br /><br />ในหนังสือเล่มนี้ยังได้กล่าวถึง การที่พ่อเจ้าได้มอบหมายภารกิจสำคัญให้แก่<strong>หม่อมวาทย์ช่วยเหลือในการส่งกำลังบำรุงทหาร</strong>คือ การจัดเตรียมเสบียงอาหารและยาไปให้ทหารที่<strong>หออะม๊อก (ป้อมปราการ) </strong>กำแพงเมืองลำปาง ในคราวที่เกิด<strong>กบฏเงี้ยวปล้นหัวเมืองฝ่ายเหนือ</strong> ซึ่งได้บุกมาถึงนครลำปาง<br /><br />จนเมื่อ<strong>กบฏเงี้ยว</strong>ยุติลง พ่อเจ้าได้ตอบแทนน้ำใจของหม่อมวาทย์ด้วยการมอบที่นาจำนวน 200 ไร่ที่<strong>ตำบลทุ่งห้วยหาญ (ทุ่งฝาย) </strong>และกล่าวต่อหน้าผู้คนทั้งปวงว่า <strong>“เพื่อหม่อมวาทย์จะได้ปลูกข้าวไว้เลี้ยงคน” </strong>ข้อความในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่พ่อเจ้ามีต่อหม่อมวาทย์อย่างมาก<br /><br />ต่อมาที่บริเวณแห่งนี้เรียกกันภายหลังว่า <strong>“ห้างโต้งฝาย” </strong>ใช้เป็นที่พักผ่อนชั่วคราวของหม่อมวาทย์และมักมีเจ้านายบุตรหลานแวะเวียนมา<strong> “กิ๋นข้าวงาย”</strong> กันเป็นประจำ<br /><br />นอกจากนี้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงทหารในคราวเกิดกบฏเงี้ยวครั้งนั้นว่า มี<strong>แพทย์ทหารนายหนึ่งจากกรุงเทพฯ</strong>เกิดหลงรักในตัว <strong>เจ้าหญิงอ้ม ณ ลำปาง</strong> ธิดาของพ่อเจ้าที่ทรงความงดงาม ซึ่งกำเนิดกับแม่เจ้าเมืองชื่นและมีความสนิทสนมกับหม่อมวาทย์ จึงได้ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอกับพ่อเจ้าแต่ถูกปฏิเสธ เพราะพ่อเจ้าตั้งใจจะนำเจ้าหญิงไปถวายตัวแด่<strong>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5</strong><br /><br />เรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับหม่อมวาทย์ด้วย หนังสือข้างต้นอ้างว่า มีผู้ยุแหย่กับพ่อเจ้าว่า หม่อม<strong>วาทย์เป็นผู้รู้เห็นเป็นใจในการที่แพทย์ทหารนายนั้นมาสู่ขอเจ้าหญิงอ้ม</strong> เข้าใจว่าเรื่องนี้ทำให้พ่อเจ้าเกิดความขุ่นเคืองมาก<br /><br />เรื่องราวกำลังเข้มข้นและยังมีปริศนาสำคัญของตระกูล ณ ลำปาง ที่หนังสืออนุสรณ์งานศพเล่มนี้ต้องการจะเปิดเผยรออยู่ ส่วนเรื่องจะเป็นอะไรนั้น โปรดติดตาม <strong>“ปริศนาแห่งคุ้มหลวง”</strong> ในตอนต่อไป<br /><br />ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น<br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br /><br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง<br /></strong><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-27214126907907262872008-12-13T13:18:00.007+07:002008-12-18T12:45:16.820+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : “บุญเท่ง” ปู่สภา<a href="http://www.minister.moi.go.th/Lmt26.jpg"><img style="WIDTH: 360px; CURSOR: hand; HEIGHT: 488px" alt="" src="http://www.minister.moi.go.th/Lmt26.jpg" border="0" /></a><br /><div><div><span style="font-size:85%;">นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปางหลายสมัย<br />ที่มาภาพ : <a href="http://www.minister.moi.go.th/photominister.html">http://www.minister.moi.go.th/photominister.html</a></span><br /><br /><strong><span style="font-size:130%;">“บุญเท่ง” ปู่สภา</span></strong><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 203 วันที่ 11-17 กันยายน 2551 หน้า 7<br /></span><br />เมืองไทยยุคชดใช้กรรม มองไปทางไหนได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ใครบางคนจะโกอินเตอร์ไปแล้วแต่เงาทะมึนยังคงอยู่ ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะไปทางไหนหรือไปฝาผีฝากไข้กับใครดี เห็นบรรดานักเลือกตั้งแล้ว ไม่ต้องบอกว่าพัดลมยังส่ายหน้าเลย<br /><br />ผมได้แต่นึกถึงนักการเมืองรุ่นเก่าของลำปางคนหนึ่งที่น่าจะมีเกียรติพอจะมาบอกเล่าให้คนลำปางรู้ว่าท่านเป็นนักการเมืองตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย<br />นักการเมืองระดับชาติของบ้านเฮาในความเห็นของผมไม่มีใครโดดเด่นเท่ากับ<strong> “นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์”</strong> (พ.ศ.2455-2544) หรือบางคนเรียก<strong> “ปู่เท่ง”</strong> <strong>อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดลำปางนานถึง 18 สมัย</strong> <strong>ได้สมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก พ.ศ.2480</strong> จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต กลายเป็น <strong>“ปู่สภา”</strong> ในยุคนั้น<br /><br />ปู่เท่งเป็นคนอำเภอเถิน หลังจาก<strong>จบธรรมศาสตรบัณฑิตรุ่นแรกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง</strong>ในสมัยนั้นได้ทำหน้าที่เป็นอัยการอยู่ 2 เดือน จึงเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองโดยสมัครเป็นผู้แทนราษฎรครั้งแรกที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในปีพ.ศ.2480 ขณะที่อายุ 24 ปี จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายหลังสงครามยุติได้มาสมัครเป็นผู้แทนราษฎรที่จังหวัดลำปางในปี พ.ศ.2489 เรื่อยมาทุกสมัยไม่เคยสอบตก<br /><br />ปู่เท่งเป็นนักการเมืองที่ผ่านงานการเมืองมาอย่างโชกโชนทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองได้แก่ <strong>รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม</strong>และประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติคือ <strong>“ประธานสภาผู้แทนราษฏร”</strong><br /><br />แม้ว่าปู่เท่งจะดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองมากมาย แต่เกียรติของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้แทนประชาชน มิได้อยู่เพียงได้ชื่อว่าดำรงตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ หากแต่อยู่ที่คุณค่าของผู้ทำหน้าที่นั้นมากกว่า พูดให้เข้าใจง่ายว่า <strong>“เป็นอะไรไม่สำคัญ เท่ากับว่าทำอะไรมากกว่า”</strong><br /><br />จริงๆแล้วขณะที่ปู่เท่งเป็นนักการเมืองในช่วงบั้นปลายของชีวิต ผมยังเรียนชั้นประถมอยู่เลยก็ได้แต่ทราบเรื่องราวของท่านผู้นี้จากผู้อาวุโสเล่าให้ฟัง ถ้าถามว่า ปู่เท่งเป็นแบบฉบับของนักการเมืองอย่างไร ผมคิดว่าว่า เราจะได้นักการเมืองที่ดีเลิศไปเสียทั้งหมดคงเป็นไปได้ยากและน่าจะฝันกลางวันมากกว่า แม้ว่าปู่เท่งอาจไม่ใช่หนึ่งในจำนวนนักการเมืองที่ดีเลิศอะไร แต่การทำหน้าที่ของปู่เท่ง ก็พอจะสะท้อนถึงความเป็นผู้แทนของคนลำปางได้<br /><br />ผมขอถามเล่นๆว่า เราเคยเห็นนักการเมืองของภาคเหนือคนไหนพูดในสภาบ้าง เอาว่าพูดแบบพอมีสาระหรือมีคุณภาพนะครับ ก็ไม่อยากบอกว่าอาจมีแต่นึกไม่ออก แต่ในยุคสมัยของปู่เท่ง ท่านที่เป็นผู้อาวุโสอาจจำได้ว่า ปู่เท่งเป็นดาวสภาคนหนึ่งที่กล้าพูด กล้าเสนอความคิดเห็น แม้จะไม่หวือหวา มีลีลามากเหมือนที่เราเห็นหน้าจอทีวีก็ตาม<br /><br />ปู่เท่ง เป็น ส.ส. ตามแบบของผู้ที่เข้าไปทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติที่ทำงานการเมืองในสภา ไม่ใช่ส.ส.แบบนักสังคมสงเคราะห์ประเภทเจ้าบุญทุ่มที่เราพบเห็นกันบ่อยๆในช่วงก่อนหรือฤดูเลือกตั้ง<br /><br />ผมคิดว่าการเป็นส.ส.หมายถึง ผู้ทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ เช่น ออกกฎหมายและควบคุมการทำงานของรัฐบาล เราต้องขีดเส้นให้ออกมาว่าบทบาทของส.ส. กับฝ่ายบริหารนั้นแตกต่างกัน แต่แน่นอนว่า ส.ส.หลายคนที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องทำงานในทางบริหารพร้อมกันไปด้วย<br /><br />อย่างไรก็ตาม คุณูปการของปู่เท่งที่มีต่อการเมืองไทย นั่นก็คือ <strong>การเป็นแบบอย่างในการทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชน เมื่อรับรู้ปัญหาต่างๆ แล้วนำไปเสนอหรือพูดคุยกันในสภาเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยระบบของสภา </strong>แม้ว่าบางคราวต้องไปทำงานในฝ่ายบริหาร แต่ก็ไม่พบว่า ปู่เท่งได้พยายามใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางบริหารมาเอื้อประโยชน์ในทางการเมืองหรือการพัฒนาในพื้นที่ เหมือนกับ ส.ส.บางจังหวัดที่อาจใช้ชื่อ ส.ส.เป็นชื่อของจังหวัดนั้นได้เลย<br /><br />การเป็น ส.ส. ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เพราะเป็นงานอาสาเข้าไป ไม่มีใครบังคับให้เป็นและไม่ใช่เป็นเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเดียว ส.ส.ต้องทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล<br /><br />ไม่ทำตัวเป็นลูกน้องรัฐบาล เหมือนกับ ส.ส.ของสภาบางยุคสมัยที่เข้าไปแล้ว แทบไม่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งไม่มีกฎหมายผ่านสภาเลยแม้แต่ฉบับเดียว เอาแต่กระเหื้ยนกระหือรือคิดจะแก้ปัญหาทางการเมืองเพื่อให้ใครบางคนพ้นคุกตารางเท่านั้น<br /><strong><br />ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น<br /></strong><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />............................. </div><div>ประวัติโดยย่อ </div><div><strong>นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์</strong><br />เกิดเมื่อ พ.ศ. 2455<br />ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ.2542<br /><br />อดีตผู้ก่อตั้ง<strong>พรรคประชาธิปัตย์</strong> โดยการเอา <strong>พรรคก้าวหน้า</strong> นายควง อภัยวงศ์<br />มารวมกับ<strong>พรรคประชาธิปไตยของ ดร.โชติ คุ้มพันธ์</strong> แล้วให้ชื่อว่า <strong>พรรคประชาธิปัตย์ขึ้น</strong><br />เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 และเป็น<u>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยาวนานที่สุดในโลก</u><br />ได้รับฉายาจากนักสื่อมวลชนว่า <strong>เท่งเที่ยงถึง</strong></div><div><span style="font-size:85%;">ที่มา : </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/บุà¸à¹€à¸—่ง_ทองสวัสดิ์"><span style="font-size:85%;">วิกิพีเดีย</span></a><br /><br />สามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เพิ่มเติมได้ที่</div><div>1. <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/บุà¸à¹€à¸—่ง_ทองสวัสดิ์">บุญเท่ง ทองสวัสดิ์<br /></a>(ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)<br />2. <a href="http://olpthesis.blogspot.com/2006/12/0015.html">กลยุทธ์และแนวทางในการดำเนินงานทางการเมืองของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์</a> โดย ธวัช คำธิตา<br />(วิทยานิพนธ์ [รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง)] – มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541)<span style="font-size:85%;"><br /><span style="font-size:100%;">3. <strong>หนังสืออนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์</strong>, 2542<br /></span><br />ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง</strong><br /><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-3177808059759972972008-12-13T13:08:00.006+07:002008-12-18T12:50:46.457+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : เจ้าสัวแห่งลำปาง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiG5GBrfHizNwpRZtTt7obxB8rCmZb4MUoYedGW5B_S7vI2eWQacSq-7SvrEeOwYVGEdmOvwi1JPXLrxzENc3ebIiCK3_29IYQoY7NcFVwdCbVE3sx112Fpwpj5NnoK2yXs65Cv8t3xVVaF/s400/รูปด้านสะพานรัษฎาsmall.jpg"><img style="WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 251px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiG5GBrfHizNwpRZtTt7obxB8rCmZb4MUoYedGW5B_S7vI2eWQacSq-7SvrEeOwYVGEdmOvwi1JPXLrxzENc3ebIiCK3_29IYQoY7NcFVwdCbVE3sx112Fpwpj5NnoK2yXs65Cv8t3xVVaF/s400/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B2small.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">สะพานรัษฎาภิเศกเริ่มสร้างเมื่อปี 2458 ที่โกตา มีส่วนร่วมในการก่อสร้าง<br />ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ พระนคร</span><br /><br /><div><span style="font-size:130%;"><strong>เจ้าสัวแห่งลำปาง</strong></span><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์ ฉบับที่ 185 วันที่ 12-18 พฤษภาคม 2551 หน้า 7</span><br /><br />ผมตระเวนไปตามห้องสมุดของวัดสำคัญในลำปางเพื่อค้นหาเอกสารท้องถิ่นได้พบหนังสือดีๆหลายเล่ม หนึ่งในนั้นมีหนังสืออนุสรณ์งานศพของ<strong>ขุนอภิพัฒน์ภักดี</strong> (ตา เจริญยิ่ง, พ.ศ.2423-2506) หรือ <strong>“โกตา”</strong> บางคนเรียก<strong> “นายห้างตา”</strong> คหบดีใหญ่ของลำปางเมื่อกว่า 80 ปีมาแล้ว มีเรื่องราวน่าสนใจ ขอนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้<br /><br />ในช่วงราวปี พ.ศ.2438 เมืองลำปางอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้สักและเป็นแหล่งสัมปทานป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคเหนือ มีบริษัททำป่าไม้ของอังกฤษ คนในบังคับอังกฤษ คนจีนและคนพื้นเมืองเข้าทำงานเกี่ยวข้องกับป่าไม้กันอย่างแพร่หลาย<br /><br />โกตาเป็นลูกคนจีนเกิดที่ย่านตลาดจีนหรือ<strong> “กาดกองต้า”</strong> ที่รู้จักกัน เริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้างของ<strong>เถ้าแก่พัดย่วน</strong> ผู้รับสัมปทานทำป่าไม้ มีหน้าที่เก็บไม้ซุงที่กระจัดกระจายอยู่ตามลำน้ำวังอันเป็นเส้นทางการขนส่งไม้ไปยังภาคกลางในสมัยนั้น มีผู้กล่าวว่า มีไม้ซุงถึงกว่าหมื่นท่อนลอยล่องอยู่เต็มลำน้ำวังอันกว้างใหญ่<br /><br />การเก็บไม้ซุงของโกตาจะใช้<strong>เรือสะล่ากาบแป้น</strong> ซึ่งเป็นเรือชนิดเล็กแล่นได้เร็ว เป็นพาหนะและมีช้างช่วยลำเลียงและคัดไม้ซุงไปรวมผูกกันเป็นแพใหญ่ เมื่อทำการผูกไม้ซุงรวมกันเป็นแพแล้ว ก็จะล่องลงไปตามลำน้ำวังจนถึง<strong>ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์</strong> อันเป็นตลาดใหญ่ซื้อขายไม้ซุง<br /><br />โกตา ทำหน้าที่คุมแพไม้ซุงลงไปที่ปากน้ำโพอยู่เป็นประจำ เมื่อเถ้าแก่พัดย่วนขายไม้ได้แล้ว ก่อนกลับลำปางได้จ่ายเงินค่าจ้างให้ และโกตาได้นำเงินเหล่านั้นไปซื้อเสื้อผ้าและสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆจากตลาดบริเวณปากน้ำโพขึ้นเรือกลับมาขายที่ลำปางเพื่อให้ได้กำไรและไม่ให้เรือเสียเที่ยว ได้ทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำนานวันเข้า สามารถรวบรวมเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง ด้วยความขยันและรู้จักเก็บออมจึงค่อยๆสร้างฐานะขึ้นมา<br /><br />ภายหลังการสัมปทานป่าไม้ของเถ้าแก่พัดย่วนสิ้นสุดอายุลง โกตาก็ยังคงขึ้นล่องขายสินค้าทางเรือระหว่างปากน้ำโพกับลำปาง จนสามารถตั้งตัวมีกิจการเป็นของตนเองชื่อ <strong>“บริษัทบุญเจริญ จำกัด”</strong> ได้พัฒนากิจการขึ้นมาทำการค้าส่งไม้โดยได้รับอนุญาตจากรัฐให้ทำการแปรรูปไม้กระยาเลย<br /><br />ในปี<strong> พ.ศ.2458 เริ่มมีการสร้างสะพานรัษฎาภิเศก</strong> ทางราชการได้ซื้อไม้เต็งรังทุบเปลือกเพื่อมาทำเสาเข็มและตอหม้อ และไม้เต็งรังขนาดต่างๆเพื่อทำปั้นจั่นตอกเสาเข็ม รวมถึงไม้เบญจพรรณมาทำเสานั่งร้านและไม้รองพื้นรับคอนกรีตจากบริษัทของโกตา จนกิจการเจริญขึ้นก็หันไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอีกทางหนึ่ง<br /><br />ปีเดียวกันนั้น กรมรถไฟหลวงแผ่นดินได้สร้างทางรถไฟสายเหนือมาถึงสถานีรถไฟผาคอ จังหวัดแพร่ นายช่างใหญ่ชาวเยอรมันได้มีหนังสือถึง<strong>เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง</strong> ขอความช่วยเหลือในการหาบุคคลที่มีความสามารถมา<strong>รับเหมาทำงานก่อสร้างทางรถไฟ </strong><br /><br />โกตาซึ่งมีความใกล้ชิดกับเจ้าผู้ครองนครลำปางจึงได้รับการสนับสนุนให้ไปติดต่องานดังกล่าว ปรากฏว่า ได้งานถมดิน งานขนหิน งานจัดหาไม้หมอนรถไฟ ตั้งแต่สถานีรถไฟผาคอไปจนถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่<br /><br />และต่อมาได้งานรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีก เช่น <strong>งานสร้างสถานีรถไฟนครลำปาง บ้านพักเจ้าหน้าที่รถไฟ โรงเก็บรถจักร งานรับหากรรมการขุดเจาะถ้ำขุนตาล งานสร้างสะพานข้ามแม่น้ำทาที่ลำพูน งานสร้างสถานีรถไฟเชียงใหม่</strong> และร่วมลงทุนกับคหบดีในเชียงใหม่รับเหมาก่อสร้าง<strong>สะพานนวรัฐ</strong> เป็นต้น<br /><br />ในระหว่างที่ทำงานให้กับกรมรถไฟหลวงแผ่นดินเป็นเวลาหลายปี โกตามีโอกาสถวายตัวเป็น<strong>มหาดเล็กของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน</strong> ขณะที่ทรงเป็นผู้บัญชาการรถไฟแผ่นดินหลวง ได้ตามเสด็จไปตรวจราชการก่อสร้างทางรถไฟในที่ต่างๆทั่วภาคเหนือ จนเป็นที่โปรดปรานพอพระราชหฤทัย<br /><br />เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาเมื่อวันที่ <strong>30 ธันวาคม 2465</strong> มีการขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แก่โกตาเป็น<strong> “ขุนอภิพัฒน์ภักดี” </strong><strong>สังกัดกรมการพิเศษ มณฑลมหาราษฏร์</strong> เมื่อมีพระราชบัญญัติให้ใช้นามสกุลขึ้นแล้วก็ได้<strong>นามสกุลพระราชทานว่า “เจริญยิ่ง”</strong> โกตาจึงเป็น<strong>ต้นสกุลเจริญยิ่ง</strong><br /><br />จากงานรับเหมาก่อสร้างในกรมรถไฟหลวงแผ่นดิน ต่อมายังเข้ามาทำงานกับกรมทางหลวงแผ่นดินได้รับเหมา<strong>งานก่อสร้างทางสายลำปาง-เชียงราย</strong> จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงราว พ.ศ.2488 ได้เข้ารับงานกับบริษัททำป่าไม้ของอังกฤษซึ่งได้กลับมาลำปางอีกครั้งหนึ่งหลังจากหนีภัยสงคราม เช่น <strong>บริษัทบอมเบย์เบอม่า</strong>ได้ว่าจ้างให้โกตาทำการลากขนไม้สักโดยรถยนต์ ขณะนั้นรถยนต์ลากขนไม้หายาก แต่ก็สามารถหารถยนต์เก่ามาประติดประต่อลากขนไม้ให้จนเป็นผลสำเร็จ<br /><br />โกตาเป็นผู้ไม่ยอมหยุดนิ่ง แม้เข้าสู่วัยชราล่วงเลยมาถึงอายุ 60 ปี ยังทำงานเก็บรวบรวมไม้ซุงในลำน้ำแม่ปิง แถบป่าแม่หาด จังหวัดลำพูน เพื่อลำเลียงส่งไปยังปากน้ำโพเหมือนชีวิตสมัยเป็นลูกจ้างเมื่อครั้งเป็นหนุ่ม ชีวิตของลูกคนจีนผู้ทระนง สร้างตัวขึ้นมาจนมั่งคั่งและได้รับบรรดาศักดิ์เป็น <strong>“ท่านขุน”</strong> สิ้นสุดลงเมื่ออายุ 83 ปี แต่ผลงานสิ่งก่อสร้างหลายแห่งยังคงปรากฏเป็นอนุสรณ์ฝากชื่อ <strong>“โกตา”</strong> หรือ <strong>“ขุนอภิพัฒน์ภักดี”</strong> เจ้าสัวแห่งลำปาง ไว้ตราบนานเท่านาน<br /><br />ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น<br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง<br /></strong><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-74978649024599191692008-12-13T10:43:00.006+07:002008-12-18T12:43:38.920+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : “คึกฤทธิ์” เล่าชีวิตฝรั่ง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfVVr9zf2SfoG7fhReDEsfUnBhz-bsr5NfYnpU7CzuTEKoILW9idifGe6SxXlgoeBjhfeaFtQtuY9E2FvAC9DskUilM9WzViz9Obm-52Akr3auSNkuEGHuEcXzjjmWexDLS6g9dNbwwS4C/s1600-h/คึà¸à¸¤à¸—ธิ์บนยอดดอยขุนตาน.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279178503599885410" style="WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 238px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfVVr9zf2SfoG7fhReDEsfUnBhz-bsr5NfYnpU7CzuTEKoILW9idifGe6SxXlgoeBjhfeaFtQtuY9E2FvAC9DskUilM9WzViz9Obm-52Akr3auSNkuEGHuEcXzjjmWexDLS6g9dNbwwS4C/s320/%E0%B8%84%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-size:85%;">ภาพม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บนยอดดอยขุนตาล<br />ที่มา : </span><a href="http://www.tuneingarden.com/work/ph2-08.shtml"><span style="font-size:85%;">http://www.tuneingarden.com/work/ph2-08.shtml</span></a><br /><br /></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUoelu-t7ZNUPZ2ZEDuY11Xs1zFe6Yl0LfWWcdv8gphIR34pGwmD-VwFVd1MWkfeb2J2XHKOZsqlLD_Z_pC8HexpfGH2ABbV1P3IRyilNxfE7L8sP0Oou0eDsRASoW6vctXC9R2_AHs9t5/s1600-h/หลุยส์เลียวโนเวนส์.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279187526630490994" style="WIDTH: 234px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUoelu-t7ZNUPZ2ZEDuY11Xs1zFe6Yl0LfWWcdv8gphIR34pGwmD-VwFVd1MWkfeb2J2XHKOZsqlLD_Z_pC8HexpfGH2ABbV1P3IRyilNxfE7L8sP0Oou0eDsRASoW6vctXC9R2_AHs9t5/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%8C.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-size:85%;">หลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ (Louis Thomas Cunnis Leonowens 1856-1919) ผู้ตั้งบริษัทหลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ ดำเนินธุรกิจค้าไม้ มีสำนักงานอยู่ที่นครลำปางด้วย (ปัจจุบันอยู่ในบริเวณบ้านพักออป.ลำปาง)<br />ที่มาภาพ : <a href="http://art-culture.chiangmai.ac.th/academic/natha/2547/12/21/">http://art-culture.chiangmai.ac.th/academic/natha/2547/12/21/</a><br />ที่มาข้อมูลหลุยส์ : <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Louis_T._Leonowens">http://en.wikipedia.org/wiki/Louis_T._Leonowens</a></span><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1uneg7Dm2p-s3oUim1wJadj62YssQS9U1usgNWpXcR5aoucNyh47Z-3Y-nSo51hZI_0oSOHfhnHNnlpTBufRRQc1sgx0OsDmViuvOWvV_Kb1uYqmPQCaPUTaCPbc-gh_fF_07HWjepdqW/s1600-h/B002_23_บ.หลุยส์+ที+เลียวโนà¹à¸§à¸™++-อาคารที่รับอิทธิพลอื่น_resize.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279189426381964402" style="WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1uneg7Dm2p-s3oUim1wJadj62YssQS9U1usgNWpXcR5aoucNyh47Z-3Y-nSo51hZI_0oSOHfhnHNnlpTBufRRQc1sgx0OsDmViuvOWvV_Kb1uYqmPQCaPUTaCPbc-gh_fF_07HWjepdqW/s320/B002_23_%E0%B8%9A.%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%8C+%E0%B8%97%E0%B8%B5+%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%99++-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99_resize.JPG" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">อาคารสำนักงานหลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ ? บริเวณบ้านพักออป.ลำปาง</span></div><div><br /><strong><span style="font-size:130%;">“คึกฤทธิ์” เล่าชีวิตฝรั่ง</span></strong><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 193 วันที่ 7-13 กรกฎาคม 2551 หน้า 7</span><br /><br /><strong>ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช</strong> อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับได้ชื่อว่าเป็น<strong> “เขยลำปาง” </strong>ทั้งที่ท่านก็มิได้มีภริยาเป็นคนลำปางแต่อย่างใด<br /><br />เหตุที่ชาวลำปางให้เกียรติแก่ท่านเป็น <strong>“คนลำปางกิตติมศักดิ์”</strong> เช่นนี้ เพราะเคยมาพำนักอยู่ที่เมืองลำปางถึง 8 ปีขณะที่เป็น ผู้จัดการบริษัท<strong>แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด สาขาลำปาง</strong> ปัจจุบันคือ <strong>ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)สาขาลำปาง</strong> ซึ่งยังคงมีอาคารสำนักงานเก่าในสมัยนั้นที่งามสง่าหลงเหลือเป็นอนุสรณ์ให้เราได้ชื่นชมอยู่<br /><br />คุณชายคึกฤทธิ์รู้จักเมืองลำปางและมีสายสัมพันธ์อันดีกับบุคคลสำคัญของลำปางในยุคนั้นหลายคน ท่านได้บอกเล่าเรื่องราวของเมืองลำปางในช่วงปีพ.ศ.2478-2485 เอาไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานศพ<strong>คุณทวีศักดิ์ จันทรวิโรจน์ </strong>ผมได้อ่านพบขอนำมาเล่าสู่กันฟังโดยเฉพาะเรื่องนายห้างฝรั่งทำไม้ ดังนี้<br /><br />เมืองลำปางในสมัยนั้นมีป่าไม้สักที่อุดมสมบูรณ์ เป็นศูนย์การทำป่าไม้ของบริษัทต่างประเทศหรือ<strong> “ห้าง”</strong> มาตั้งสำนักงานอยู่ที่นี่ เช่น <strong>ห้างบอมเบย์เบอร์ม่า ห้างบอร์เนียว ห้างแองโกลไทย ห้างมิสหลุยหรือหลุยส์ ที. เลโอโนเวนส์</strong> และ<strong>ห้างอีสต์เอเชียติคของเดนมาร์ก</strong> ทุกห้างจะมีนายห้างฝรั่งเป็นผู้จัดการและมีฝรั่งหนุ่มๆมาเป็นผู้ช่วยประมาณสี่ห้าคน มีคนไทยหรือพม่า ซึ่งได้รับโอนสัญชาติเป็นไทยมาทำหน้าที่เป็นลูกช่วงรับทำไม้<br /><br />ห้างป่าไม้เหล่านี้เป็นบริษัทที่ใหญ่โต มีเงินทุน มีเครื่องมือทำไม้ ช้างและกุลีทำไม้เป็นจำนวนมาก รวมถึงมีอิทธิพลทางการเมืองสูง ห้างป่าไม้จะมีสำนักงานและบ้านพักของนายห้างและผู้ช่วย ปลูกไว้ใหญ่โตในบริเวณพื้นที่ของห้างอันกว้างใหญ่<br /><br />บ้านพักของฝรั่งปลูกเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ใต้ถุนสูง บางแห่งกั้นใต้ถุนเป็นสำนักงาน ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย มีเครื่องเรือนแบบฝรั่งนั้นทำด้วยหวายหรือไม้สักอย่างดี มีภาพติดผนังที่นายห้างเอามาจากต่างประเทศ มีการตกแต่งปักแจกันดอกไม้ตามที่ต่างๆภายในบ้าน ซึ่งเป็นผีมือของเด็กรับใช้ชาวขมุ<br /><br />การใช้ชีวิตของนายห้างฝรั่งจะรับประทานอาหารฝรั่งล้วน ปรุงโดยพ่อครัวชาวกำมุ หรือที่คนลำปางเรียกว่า <strong>“ขมุ”</strong> อาหารเช้าจะมีน้ำชา ไข่ดาว หมูแฮมหรือหมูเบคอนหรืออาหารอย่างอื่น เช่น <strong>เค็ดเจอรี่</strong> ซึ่งเป็นปลาผสมกับข้าวสุก ขนมปังปิ้ง เนย แยมส้มที่เรียกว่า <strong>มาร์มะเลด</strong> มีกาแฟหรือน้ำชาใส่นมแบบอังกฤษ<br /><br />ส่วนอาหารกลางวันเป็นอาหารพวกข้าวผัด มีของหวานแบบฝรั่งที่เรียกว่า <strong>พุดดิ้ง</strong> ตกบ่ายมีน้ำชา มีแซนด์วิช ขนมหวาน ผลไม้ ส่วนอาหารเย็นนั้นเต็มรูปแบบเริ่มต้นตั้งแต่ซุป ปลา เนื้อหรือไก่ กินของหวานแล้วกลับไปถึงของเค็มที่เรียกว่า เซเวอรี่ อีกครั้งหนึ่ง มีการดื่มเหล้าในช่วงบ่ายที่สโมสรหลังจากเล่นกีฬาเสร็จแล้ว<br /><br />คุณชายยังเล่าอีกว่า ชีวิตครอบครัวของนายห้างฝรั่งมักจะมีภรรยามาจากต่างประเทศหรืออาจเป็นคนไทยทั้งโดยเปิดเผยหรือบิดบังไว้ ส่วนผู้ช่วยนายห้างที่เป็นฝรั่งหนุ่มมีข้อห้ามมิให้มีภรรยา แต่อันที่จริงแล้วมักมีเพื่อนนอนเป็นหญิงไทยแทบทุกคน<br /><br />โดยมีวิธีการคือ เมื่อมีฝรั่งผู้ช่วยนายห้างมาจากต่างประเทศได้ประมาณ 2 วัน คนรับใช้ประจำตัวจะนำหญิงสูงอายุคนหนึ่งมาพบ โดยทำทีว่ามาขายเครื่องเงินหรือของที่ระลึก มีของเหล่านั้นใส่มาในกระจาดจริงๆ แต่ในระหว่างที่ฝรั่งนายห้างหรือผู้ช่วยนายห้างกำลังเลือกของอยู่นั้น หญิงสูงอายุจะเอาภาพผู้หญิงสาวๆสวยๆหลายคนออกมาให้นายห้างฝรั่งดู หากชอบคนไหนหญิงสูงอายุก็จะไปตกลงกับคนรับใช้ประจำตัวนายห้างอีกที<br /><br />ต่อจากนั้นเมื่อนายห้างหรือผู้ช่วยฝรั่งเข้านอนก็จะมีคนไปนอนด้วย ไม่ว่านายห้างจะอยู่ในเมืองหรือออกไปนอนไพรเมื่อไปตรวจป่า พอรุ่งเช้าเมื่อนายห้างตื่นขึ้นก็จะนอนอยู่คนเดียวและด้วยเหตุผลนี้จึงถือว่า นายห้างฝรั่งเป็นคนโสด (แต่ไม่สด)<br /><br />คุณชายเล่าด้วยความแปลกใจอีกว่า เมื่อมาอยู่ลำปางคืนแรก พอรุ่งเช้าโผล่หน้าต่างออกไปดูภูมิทัศน์ เห็นหญิงฝรั่งหน้าตาสวยเป็นสาวเต็มตัว แต่งกายแบบพื้นเมืองถีบจักรยาน เห็นแล้วทำให้เคลิบเคลิ้มนึกไปว่าตนอยู่ในประเทศอังกฤษได้ไต่ถามดูภายหลังทราบว่าหญิงสาวฝรั่งที่เห็นเมื่อตอนเช้านั้นเธอชื่อ <strong>“บัวก๋าย”</strong><br /><br />เท่าที่คุณชายคึกฤทธิ์เล่ามาทำให้เราทราบว่าครั้งหนึ่งลำปางบ้านเฮาก็เป็น <strong>“เมืองนานาชาติ”</strong> ดูอินเตอร์กับเขาเหมือนกันและผลจากการทำกิจกรรมอดิเรกของนายห้างฝรั่งหนุ่มข้างต้นได้ทำให้คนลำปางมีหน้าตาเป็นฝรั่งไปหลายคน !??!<br /><br />ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น<br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง</strong><br /><br />เสาร์ 13</span><br /><span style="font-size:85%;">ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-58795318451785968752008-12-13T10:32:00.014+07:002008-12-18T12:53:07.006+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : คนเมือง บ่อู้กำเมือง<strong><span style="font-size:130%;">คนเมือง บ่อู้กำเมือง</span></strong><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน<strong> หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์ </strong>ฉบับที่ 181 วันที่ 14-20 เมษายน 2551 หน้า 7<br /></span><br />ตอนเรียนชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนผู้ดีแห่งหนึ่ง จำได้ว่า ผมถูกครูบิดพุงอยู่หลายครั้ง เพราะเผลอไป <strong>“อู้กำเมือง” </strong>กับเพื่อนๆในห้อง ทำให้ครูต้องย้ำเสมอว่า อยู่ที่โรงเรียนต้องใช้ <strong>“ภาษาไทยกลาง”</strong> ห้ามพูดคำเมืองโดยเด็ดขาด ขณะนั้นก็ได้แต่ทำตามคำเตือน เพราะไม่ใช่เด็กฉลาด “แอ็บแบ๊ว” ระดับไอน์สไตน์หรือเซี่ยงเมี่ยง จึงไม่กล้าตั้งคำถามโต้แย้งกับคุณครู<br /><br />แต่ความเป็นคนเมือง เมื่อกลับถึงบ้านก็พูดคำเมืองกับครอบครัวและญาติทุกระดับ ไม่เคยต้องใช้ภาษาไทยกลางกับญาติสนิทคนไหน ถ้าหากทำเช่นนั้นคงต้องเพี้ยนไปเป็นแน่ ผมรู้สึกว่า เมื่ออู้กำเมือง มันพูดได้คล่อง สื่อสารได้ตรงใจ<strong> “คิง...ฮา...บ่าเฮ้ย”</strong> ได้เลย ไม่ต้องเสแสร้งหรือใช้สำบัดสำนวนมากเหมือนกับภาษาไทยกลาง แต่ตอนเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดอะไรมาก อยู่โรงเรียนผู้ดีก็ต้องใช้ภาษาไทยกลางแบบผู้ดีที่เขาพูดกัน เมื่อปิ๊กมาบ้านก่อย <strong>“อู้กำเมือง”</strong> หื้อแล๋วแลดไปเลย !!!<br /><br />เมื่อได้ไปศึกษาระดับปริญญาตรีที่เชียงใหม่ อาจด้วยความเป็นเมืองใหญ่ที่เป็นหัวใจของล้านนา ผมรู้สึกว่า เชียงใหม่ในขณะนั้นมี <strong>“จิตวิญญาณล้านนา”</strong> อยู่รายรอบ แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่ถูกกระแสของทุนนิยมโหมพัดกระหน่ำ แต่เชียงใหม่ก็มีความเคลื่อนไหวทางสังคมในเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอยู่ไม่น้อยทีเดียว<br /><br />ผมมีโอกาสพบปะผู้คนที่ทำงานภาคสังคม ได้ฟังเพลงของ<strong>อ้ายจรัล มโนเพ็ชร</strong> กับ<strong>ปี้สุนทรี เวชานนท์</strong> ศิลปินคนเมือง อ่านหนังสือของ<strong>อ้ายมาลา คำจันทร์</strong> นักเขียนซีไรต์ จึงรู้สึกสัมผัสถึง ไออุ่นแห่งวัฒนธรรมล้านนาซึ่งมีภาษาที่มีอรรถรสและวัฒนธรรมอันงดงามทรงคุณค่า ทำให้ชอบภาษาเชียงใหม่ที่ฟังดูเย็นๆช้าๆ แต่ก็ไพเราะจับใจ แม้ภาษาลำปางอาจดูห้วนๆทื่อๆไปนิดแต่ก็ดูจริงใจดี<br /><br />อยู่เชียงใหม่หลายปีเลยเผลอรักเมืองเชียงใหม่เข้าให้ ผมชอบดอยสุเทพ แม่ปิง วัดวาอารามเก่าๆ และรับประทานอาหารพื้นเมืองได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น...น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ไส้อั่ว แก๋งฮังเล ลาบแย้ แก๋งแคแลน... ซัดหมดครับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแทบไม่ค่อยจะแตะเลย และกิ๋นข้าวนึ้งได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ต้องก้มหน้าก้มตากิน เพราะรู้สึกอายใครว่า <strong>“เฮาเป๋นคนเมือง”</strong><br /><br />เมื่อปิ๊กมาลำปางหนาบ้านเฮา รู้สึกว่ามีอะไรดูขัดหูขัดตาหลายอย่าง เจอเพื่อนบ้านหลายคนเป็นคนเมือง(คนภาคเหนือ) บางครอบครัวเป็นคนเมืองทั้งสามีและภรรยา บางบ้านสามีเป็นคนเมือง ภรรยาเป็นคนไทย (คนภาคกลางหรืออื่นๆ) บางบ้านภรรยาเป็นคนเมือง สามีเป็นคนไทย แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน จะพบว่า บรรดาลูกๆของเพื่อนบ้านเหล่านั้น ทั้งที่เป็นลูกคนเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์หรือลูกครึ่งคนเมือง ผมยังไม่เคยเจอเด็กรุ่นใหม่อายุราว 7-20 ปีคนใด <strong>“อู้กำเมือง”</strong> แม้แต่คนเดียว !??!<br /><br />มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้แต่นึกสงสัยว่า <strong>“ป้อก่อเมือง แม่ก่อเมือง จะใดลูกบ่อู้กำเมือง”</strong> และที่น่าพะอืดพะอดเป็นที่สุดคือ ผมต้องฝืนรักษามารยาทความเป็นผู้ดี โดยพูด “ภาษาไทยกลาง” กับเด็กๆเหล่านั้นเพราะเกรงใจพ่อแม่ของเขา ทั้งที่ส่วนใหญ่ก็ลูกคนเมืองหรือไม่ก็ลูกครึ่งคนเมืองทั้งนั้น เด็กหลายคนหน้าตาดูเมียงๆ...ไม่ต้องบอกก็รู้ยี่ห้อ<br /><br />เคยถามเพื่อนบ้านหลายคนว่า <strong>“ทำไมไม่ให้ลูกอู้กำเมือง”</strong> เขาก็ตอบในทำนองเลี่ยงบาลีว่า<strong> “กลัวจะพูดภาษาไทยกลางไม่ชัด” </strong>ซึ่งก็มีส่วนถูกแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะแท้ที่จริงแล้วภาษาเป็นเรื่องของความสนใจที่จะฝึกฝนเรียนรู้ด้วย ผมพบคนเมืองจำนวนไม่น้อยก็พูด <strong>“ภาษาไทยกลาง”</strong> ได้ชัดเจน ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเมือง แต่บางคนที่จะไม่สนใจเรื่องการใช้ภาษา แม้ว่าจะเป็นลูกที่พ่อแม่คนเมือง สอนให้พูดภาษาไทยกลางมาแต่กำเนิด หลายคนก็ไม่ได้พูดด้วยถ้อยคำหรือสำเนียงที่ชัดเจนแบบคนไทยแท้ มักพูดไทยปนเมือง...เห็นแล้วรู้สึกอ่อนใจ<br /><br />กรณีนี้ต่างกับในต่างประเทศ เด็กฝรั่งที่เป็นลูกครึ่ง เช่น เยอรมันกับอังกฤษ พ่อแม่ก็จะให้ลูกได้เรียนรู้ทั้งสองภาษา มีผลการวิจัยยืนยันในเรื่องนี้ด้วยว่า การที่เด็กได้เรียนรู้หลายภาษาทำให้สมองได้พัฒนามากขึ้นยิ่งช่วยให้มีความเฉลียวฉลาดปราญ์เปรื่อง<br /><br />ดูเหมือนลำปางจะถูกกระแสความเปลี่ยนแปลงพาไปมาก มีข้อสังเกตคือ ศัพท์แสง<strong> “กำเมือง” </strong>ที่มีเสน่ห์หลายๆคำ คนลำปางไม่ค่อยจะนิยมพูดหรืออาจใช้ไม่เป็นก็ไม่แน่ใจ ตัวอย่างเช่น คำพูดลงท้ายว่า <strong>“เจ้า”</strong> ก็พูดเป็น <strong>“ค่ะ/คะ”</strong> แทน หรือคำว่า <strong>“ยินดี”</strong> ซึ่งแปลว่า ขอบคุณ ก็มักใช้ว่า <strong>“ขอบคุณ”</strong> หรือ คำว่าพี่ชาย แทนที่จะพูดว่า <strong>“อ้าย”</strong> ก็พูดว่า <strong>“ปี้”</strong> ซึ่งน่าจะใช้กับผู้หญิงมากกว่า แต่คนลำปางก็ใช้ คำว่า<strong> “ปี้”</strong> กับทั้งพี่สาวและพี่ชายเหมือนๆกัน<br /><br />ที่ร้ายไปกว่านั้น ผมฟังแล้วแทบปวดใจคือ คำเรียกปู่ย่า ตายายของเรา แทนที่จะเรียกท่านว่า<strong> “พ่ออุ้ย แม่อุ้ย” </strong>หรือ <strong>“พ่อหลวง แม่หลวง”</strong> หรือ<strong> “พ่อเฒ่า แม่เฒ่า”</strong> ที่คนลำปางในเขตเมืองเคยพูดกันแต่ก่อน ก็เห็นจะเรียกว่า “ปู่ย่า ตายาย” เหมือนคนไทยภาคกลางยังไงยังงั้น<br /><br />เอาเข้าจริงๆ ผมกลับเชื่อว่าที่หลายคนไม่ให้ลูกหลาน <strong>“อู้กำเมือง”</strong> น่าจะเป็นเพราะความรู้สึกว่า <strong>“กำเมือง”</strong> เป็นภาษาของผู้ด้อยกว่าหรือดูไม่เป็นผู้ดีมีวัฒนธรรม<br />รวมทั้งคงไม่รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนเมืองเท่าไหร่ เรื่องนี้พูดมากไปก็จะถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกอนุรักษ์นิยม <strong>“บ้าของเก่า เล่าความหลัง”</strong> แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า <strong>“ถ้าลืมโคตรเหง้า...ก็เผาแผ่นดิน”</strong> !!!<br /><br /><strong>ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น</strong><br /><a href="mailto:ไชยเมืองชื่นlakorforum@yahoo.com">mailto:ไชยเมืองชื่นlakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง</strong><br /><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-60170944035978713632008-12-13T10:32:00.013+07:002008-12-18T12:52:41.597+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiy2IHyrcPYr-ItfOfZmpSuqNEV3bceJHVM5He7jDHp1eZYVTHU2jtAjPDzW1NpsFJBw4NyiMd2MkYV8pkY5dtk9yWpjsurnOMLa3VOFAwifMkcERNNwqXzqGOzKV9F36rvYUIOnIWcGL1g/s1600-h/IMG_1114_resize.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279119236299032850" style="WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiy2IHyrcPYr-ItfOfZmpSuqNEV3bceJHVM5He7jDHp1eZYVTHU2jtAjPDzW1NpsFJBw4NyiMd2MkYV8pkY5dtk9yWpjsurnOMLa3VOFAwifMkcERNNwqXzqGOzKV9F36rvYUIOnIWcGL1g/s320/IMG_1114_resize.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">ลูกชิ้นจุดขายสำคัญของร้าน "นิยมโอชา"ที่ระบือไปทั่วประเทศ</span><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4cSYXtO7Q9yJWtqgS77T8tyr4ZDJ_Z6zzyU9EuQzd53XENholyRFpYIBjf1U__FqJ2eJN7tTX9cnqEORTS5kBdRIJgshMUvxmno6orl8HIYLfIggbacP-0GbGHJovaZbsYYcbfPV3OeZV/s1600-h/IMG_1085_resize.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279119230978543538" style="WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4cSYXtO7Q9yJWtqgS77T8tyr4ZDJ_Z6zzyU9EuQzd53XENholyRFpYIBjf1U__FqJ2eJN7tTX9cnqEORTS5kBdRIJgshMUvxmno6orl8HIYLfIggbacP-0GbGHJovaZbsYYcbfPV3OeZV/s320/IMG_1085_resize.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">ภายในร้าน "นิยมโอชา" หน้าวัดเมืองสาด(เมืองศาสน์) หรือก๋วยเตี๋ยวปู่โย่งอันเลื่องชื่อ</span><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD_GIaadvoGr25wcn7fX1xlZEmF-hkUOiFPuKdKlpPhvnByAcP3Oe71DQQ-3hUWgyf3wSPCrs9LevSd9bDFcaCfvhfWDwrUrx56WDIAHCbkUAa5A1hyphenhyphenlgfvAuvdXStGT2MtfyEvxoMmnNY/s1600-h/IMG_1071_resize.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5279119199537569858" style="WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD_GIaadvoGr25wcn7fX1xlZEmF-hkUOiFPuKdKlpPhvnByAcP3Oe71DQQ-3hUWgyf3wSPCrs9LevSd9bDFcaCfvhfWDwrUrx56WDIAHCbkUAa5A1hyphenhyphenlgfvAuvdXStGT2MtfyEvxoMmnNY/s320/IMG_1071_resize.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อสดในชามกระเบื้องสีเขียว</span><br /><div><br /><strong><span style="font-size:130%;">ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง</span></strong><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 201 วันที่ 28 สิงหาคม-3 กันยายน 2551 หน้า 7</span><br /><br />ถ้าพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวที่ติดหูติดปากของผู้คนมากที่สุดในลำปาง คงจะหนีไม่พ้น<strong> “ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง”</strong> ทั้งๆที่ร้านนี้ก็ไม่ได้มีป้ายเชลล์ชวนชิมเอาไว้เป็นนางกวักอะไรกับเขา แต่มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้าออกร้านกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ<br /><br />ผมแวะไปรับประทานคราใดก็มักจะสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นเปียกแบบแห้งที่ใส่น้ำมันกระเทียมเจียว เติมถั่วลิสงคั่วบดและน้ำตาลคลุกเคล้าให้เข้ากัน กินกับลูกชิ้นเม็ดใหญ่สูตรเด็ดอันแสนอร่อย ทำให้นึกย้อนไปถึงก๋วยเตี๋ยวแห้งที่พ่ออุ้ยแม่อุ้ยซื้อใส่ห่อใบตองมาให้กินสมัยตอนเป็นเด็กในวัยกำลังหิวโหย ช่างได้รสชาติของก๋วยเตี๋ยวแบบฉบับเก่าๆของลำปางบ้านเฮาแต้ๆหนา<br /><br />ร้านก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง หน้าวัดเมืองศาสน์แห่งนี้ มีป้ายชื่อหน้าร้านว่า<strong> “นิยมโอชา”</strong> เชื่อว่าคงไม่ใครรู้จัก แต่รู้จักกันในชื่อ “ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง” ซึ่งเนื่องมาจากชื่อของคุณพ่อของเจ้าของร้าน ซึ่งคนทั่วไปเรียก <strong>“โกโย่ง” </strong><br /><br />จริงๆแล้วคำว่า“โย่ง” เองก็ไม่ใช่ชื่อเล่นหรือชื่อเดิมอะไรแต่มาจากบุคลิกที่สูงใหญ่ของคุณพ่อผู้บุกเบิกกิจการแห่งนี้ ชื่อจริงของท่านคือ<strong> “นายโต้ยเตียง แซ่จึง”</strong> ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่ในวัย 88 ปี คนที่รู้จักมักเรียก “โกโย่ง” บ้างหรือ “ปู่โย่ง” บ้าง<br /><br />ส่วนคำว่า “ปู่” ในที่นี้ก็มิได้หมายถึง “พ่อของพ่อ” เหมือนอย่างที่คนทั่วไปใช้เรียกกัน ในความเห็นของผม คำว่า “ปู่” ในภาษาเหนือ เป็นคำที่ใช้ในทางเหยียดหยามผู้อื่นสักหน่อย ออกจะเป็นคำที่ไม่สุภาพนัก ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างว่า น่าจะคล้ายกับคำว่า “บ่า” หรือ “อี่” ซึ่งหมายถึง เขาหรือเธอ นั่นเอง<br /><br /><strong>“ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง”</strong> อันโด่งดังของลำปาง ถือกำเนิดมาพร้อมกับการเข้ามาของนายโต้ยเตียง แซ่จึง ที่อพยพมาจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเสื่อผืนหมอนใบเมื่อกว่า 70 ปีมาแล้ว เมื่อเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกยังไม่ได้มาอยู่ที่ลำปาง ก็ทำงานรับจ้างสารพัดไปทั่ว<br /><br />กระทั่งย้ายมาอยู่ที่ลำปางก็ทำการค้าเล็กๆน้อยๆ จนได้ลองมาทำก๋วยเตี๋ยวขายเมื่อราวปี พ.ศ.2499 เริ่มขายครั้งแรกได้เช่าร้านเล็กๆบริเวณถนนบุญวาทย์ มีตู้ไม้ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเป็นลิ้นชัก<br /><br />สิ่งที่พิเศษของร้านก๋วยเตี๋ยวของนายโต้ยเตียง ก็คือ เขาเลือกที่จะทำลูกชิ้นด้วยตัวเองและจุดนี้ได้ทำให้ก๋วยเตี๋ยวของเขาขายดิบขายดี เป็นที่ชื่นชอบถูกปากของคนลำปาง ด้วยความสดอร่อยของลูกชิ้นที่ทำเอง<br /><br />ต่อมาได้ย้ายร้านมาตั้งอยู่หน้าวัดเมืองศาสน์ในปัจจุบัน ความโด่งดังสุดขีดของร้านแห่งนี้ ทำให้เมื่อราว 30 ปีมาแล้วได้มีข่าวลือหนาหูว่า น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวมีส่วนผสมสุดพิเศษโดยใช้ <strong>“แมว”</strong> มาต้มเป็นน้ำซุป บ้างก็ว่าพบซากหัวแมวที่หลังร้าน หรือขนแมวในชามก๋วยเตี๋ยว ถือเป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง<br /><br />ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้สงสัยต้องโดน <strong>“ชิมไป ด่าไป”</strong> รายสัปดาห์ โทษฐานนำเอาของรักของหวงของท่านผู้นำไปทำน้ำซุปเป็นแน่<br />แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยฝีมือและรสชาติความอร่อยโดยเฉพาะลูกชิ้นทำเอง เป็นเครื่องการันตีให้ร้านนี้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาได้จนกระทั่งถึงปัจจุบันกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว<br /><br />ไม่ว่าจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าใหม่จากไหนต่อไหนมาอยู่ที่ลำปาง ก็ไม่ทำให้ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่งต้องหวั่นไหวเพราะยังคงมีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรเนืองแน่นเป็นประจำทุกวัน ปัจจุบันมี<strong>คุณดรุณ ศิลปพงษ์พาณิชย์</strong> เป็นเจ้าของกิจการรุ่นลูก ได้สืบสานเจตนารมณ์ของ<strong> “โกโย่ง”</strong><br /><br />ผมสังเกตว่า <strong>“ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง”</strong> ว่าไปแล้วแทบไม่ได้พัฒนาอะไรมากนัก เป็นก๋วยเตี๋ยวสูตรดั้งเดิมไม่มีอะไรปรับปรุง รวมถึงรูปแบบของร้านก็เป็นกระต๊อบไม้เก่าๆข้างวัด มีปฏิทินติดตามผนังให้บรรยากาศคลาสสิกแบบเก่าๆ รสชาติก็ไม่มีสูตรมะนาวต้มยำหรือตุ๋นโน่นตุ๋นนี่อะไร ภาชนะที่ใส่ก็เป็นชามเขียวๆแสนธรรมดา ไม่อินเทรนด์เป็นตราไก่ หม้อดิน อะไรกับเขาเลย<br /><br />ตรงนี้นับเป็นความองอาจที่ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่งเมื่อ 50 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงใช้ลูกชิ้นทำเองด้วยสูตรเฉพาะและน้ำซุปก็มาจากน้ำต้มลูกชิ้น เพียงแต่ได้เพิ่มกระดูกหมูเคี้ยวกันตั้งแต่ตีห้าจนถึงเวลาขายเกือบสิบโมง เอากันให้เข็มข้นกันเลย ถือเป็นจุดขายสำคัญอย่างเดียวของร้านนี้<br />ที่สำคัญร้านนี้ไม่ง้อป้ายเชลล์ชวนชิมหรือเปิบพิสดารอะไรมาติดให้รกร้าน และไม่มัวแต่สนใจว่าคุณชายหรือนางรำที่ไหนจะมาชิมให้เสียเวลา สมกับเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่และทรงชื่อเสียงแห่งลำปาง...<strong>ที่ข้าน้อยต้องขอคารวะ</strong><br /><br /><strong>ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น</strong><br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว<br /><strong>on Lampang :<br />เปิดโลกลำปาง</strong><br /><br />เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-41340853303378429332008-12-13T10:23:00.005+07:002008-12-18T12:51:37.254+07:00บทความจากอาจารย์ไพโรจน์ : 80 ปีสักเสริญ(ศักดิ์) รัตนชัย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7AB-f4LnVyOTLqW_xSYPMNE-dZCb3Cf1WTdnUiqZAKcWlWZPvgxydRMmxZft3k7x78h1Dgp46KGll7gwUotzxkTOymMsMt6iGj2q5QmR83-VifeZZ9PKtq67c7S8fmzLByYuamSJUjjrL/s269/คู่à¹à¸—้02.jpg"><img style="WIDTH: 209px; CURSOR: hand; HEIGHT: 221px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWipkkl6BAibxPyoVtwiuQ2YXVoToU5ObpxjSAtKVFyKRMnAfKNElyw4OOTSdrWKRpLFnL1iV-D6PDKQYmDSyIxAFf3OzO3nRoH1FW66pBs0qgasVbZLKxqml_DOoWMBfnni3P-UcoB3aq/s269/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%8902.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">"คู่แท้" ถ่ายคู่กับภรรยา สมัยยังหนุ่มสาว<br />ทีมาภาพและคำบรรยาย : <a href="http://saksern.page.tl/Gallery/pic-8.htm">http://saksern.page.tl/Gallery/pic-8.htm</a></span><br /><br /><div><strong><span style="font-size:130%;">80 ปีสักเสริญ(ศักดิ์) รัตนชัย</span></strong><br /><span style="font-size:85%;">ตีพิมพ์ครั้งแรกใน <strong>หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์</strong> ฉบับที่ 177 วันที่ 17-23 มีนาคม 2551 หน้า 7<br /></span><br />ชื่อ<strong> “สักเสริญ รัตนชัย”</strong> คงไม่ค่อยคุ้นหูนักสำหรับคนลำปาง แต่ถ้าเอ่ยชื่อ <strong>“ศักดิ์ รัตนชัย”</strong> แล้วล่ะก็ ไม่ต้องบรรยายถึงสรรพคุณ แม้ผมจะไม่ทราบสาเหตุที่อาจารย์ศักดิ์ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “สักเสริญ” และมาเปลี่ยนเอาตอนเฒ่าเสียด้วย ใครๆก็เรียกกันติดปากว่า <strong>“อาจารย์ศักดิ์”</strong> มานานแล้ว จึงเอาเป็นว่าขอพบกันครึ่งทาง ในข้อเขียนนี้ขอเรียกชื่อท่านว่า<strong> “อาจารย์สัก” </strong>ก็แล้วกันครับ<br /><br />เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองลำปาง ก็มักจะต้องกล่าวอ้างถึงอาจารย์สัก ปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่เสมอ อาจารย์จึงเป็นเสมือน<strong>สารานุกรมเคลื่อนที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม</strong>ที่มีชีวิตให้แก่คนลำปาง ขณะนี้ท่านได้เดินทางมาถึงถนนสายที่ 80 แล้วและมีอายุครบ 80 ปีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ศกนี้<br /><br />ผมไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงหรือสายเอียงของท่านและไม่ได้ยึดถือเชิดชู <strong>“ลัทธิมหาบุรษ”</strong> แต่ด้วยความเป็นคนลำปางและนักเรียนประวัติศาสตร์ที่สนใจด้าน<strong>ล้านนาคดี </strong>จึงพอจะทราบถึงคุณูปการของอาจารย์สักที่มีต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองลำปางมาบ้าง ในวาระ 80 ปีของอาจารย์ ขอใช้ข้อเขียนนี้กล่าวถึงผลงานและความดีบางส่วนของท่านเพื่อเป็นเกียรติในวาระอันสำคัญนี้<br /><br />ถ้าจะว่าไปจริงๆแล้ว อาจารย์สัก ก็ไม่ได้เป็น<strong> “ครู”</strong> หรือ <strong>“อาจารย์”</strong> สังกัดสถาบันการศึกษาไหน (เพิ่งได้รับเชิญจาก<strong>มหาวิทยาลัยโยนก</strong>ไปเป็น<strong>ผู้อำนวยการสถาบันศิลปวัฒนธรรมโยนก</strong> ภายหลังตอนบั้นปลายชีวิต) แต่ที่คนลำปางเรียกท่านว่า<strong> “อาจารย์”</strong> อย่างสนิทใจมานาน น่าจะเป็นเพราะความเป็นผู้รู้หรือ <strong>“ปราชญ์ท้องถิ่น” </strong>ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองลำปาง ดังนั้นอาจารย์สัก ก็คือ “ครูของสังคมลำปาง” นั่นเอง<br /><br />อาจารย์สักเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์และนำเสนอประเด็นทางสังคมวัฒนธรรมอย่างตรงไปตรงมา ในขณะเดียวกันท่านได้ทุ่มเทเวลาศึกษาค้นคว้าและลงพื้นที่สำรวจอย่างจริงจัง สร้างผลงานวิชาการทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองลำปางต่อเนื่องมากว่า 50 ปี มี<strong>ผลงานทั้งประเภทหนังสือ บทความ รายงานสำรวจ</strong>และ<strong>งานปริวรรตเอกสารพื้นเมือง มากกว่า 30 รายการ</strong><br /><br />การที่อาจารย์มีผลงานวิชาการมากมายมิได้มาจากการเป็นผู้มีการศึกษาสูงตามระบบการศึกษาปกติ เข้าใจว่า แต่เดิมท่านก็มิได้สำเร็จการศึกษาระดับสูงมากนัก แต่ค่อยพัฒนาขึ้นมาในภายหลัง อย่างไรก็ตามแท้ที่จริงแล้วการศึกษาของมนุษย์ก็มิได้วัดกันที่ปริญญาบัตรหรือประกาศนียบัตรใดๆ หากมาจากความเป็นผู้ใฝ่รู้ รักการอ่าน รู้จักคิดวิเคราะห์และมุ่งมั่นค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ตนเองอยากรู้ ตลอดจนนำความรู้เหล่านั้นไปเป็นประโยชน์ต่อสังคม นั่นจึงจะบ่งบอกถึงความเป็น<strong> “ผู้มีการศึกษาสูง”</strong> อย่างแท้จริง ซึ่งอาจารย์ก็ถึงพร้อมด้วยประการทั้งปวง<br /><br />ด้วยความเป็นนักหนังสือพิมพ์ ทำให้อาจารย์เป็นที่รู้จักในภาคสังคมของลำปางและภาคเหนือ รวมถึงสายสัมพันธ์ทั้งในวงการสื่อมวลชนและภาครัฐในพื้นที่อย่างยาวนาน ท่านจึงได้รับเชิญไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิให้คำปรึกษาและทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆมากมายของจังหวัดลำปาง จนบ่มเพาะตัวเองขึ้นมาเป็นผู้รู้ของท้องถิ่นที่เปรียบประดุจคลังข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองลำปางอันยากจะหาผู้ใดเทียบได้<br /><br />อาจารย์สักไม่เพียงแต่เป็น <strong>“ปราชญ์ท้องถิ่น”</strong> แต่ยังเป็นปัญญาชนสาธารณะที่ทำงานภาคสังคมไปพร้อมกัน เป็นผู้พยายามริเริ่มทำงานและเสนอความเห็นด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆมากมายในเมืองลำปางตามที่ตนเองได้ศึกษาค้นคว้ามา ทั้งยังเป็นนักต่อสู้เพื่อเรียกร้องและอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น แม้ว่าหลายครั้งจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากคนบางกลุ่มก็ตาม<br /><br />แต่ด้วยจิตสำนึกที่รักและหวงแหนในคุณค่ามรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างเต็มเปี่ยมและ กล้าเสนอความคิดเห็นโดยมีข้อเท็จจริงและคำอธิบายรองรับ ทำให้ความเห็นของอาจารย์มีน้ำหนักและได้รับการพิจารณาในวงวิชาการด้านล้านนาคดีศึกษา<br /><br />อย่างไรก็ตามการเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงและพูดจาตรงไปตรงมาซึ่งเป็นธรรมดาของปุถุชน ทำให้อาจารย์มีทั้งคนที่รักและไม่ชอบใจในขณะเดียวกัน<br />เราก็คงต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ในโลกนี้ไม่มีมนุษย์คนใดที่สมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง ดังนั้น ควรเลือกที่จะมองในส่วนดีของเขาเหล่านั้นที่ยังประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกมากกว่า<br /><br />ความเป็น “อาจารย์สัก” ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วก็ตาม ถ้าหากเป็นผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็ถึงเวลาได้พักผ่อน แต่อาจารย์สักยังคงมุ่งมั่นเรียนรู้และทำงานด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ท่านรักและชื่นชอบต่อไปไม่หยุดนิ่ง สมกับความเป็นผู้ใฝ่รู้ที่ดำรงตนมาอย่างยาวนาน<br /><br />ในวาระ 80 ปีของอาจารย์ ผมขอแสดงความเคารพและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เมืองลำปางของเรา มี “อาจารย์สักเสริญ(ศักดิ์) รัตนชัย” เป็นศักดิ์ศรีและสง่างามในฐานะ<strong> “ปัญญาชนนครลำปาง” </strong>ที่จะเป็นแบบอย่างทางวิชาการและงานด้านวัฒนธรรมให้แก่คนรุ่นหลังได้เจริญรอยตามสืบไป<br /><br /><strong>ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น</strong><br /><a href="mailto:lakorforum@yahoo.com">lakorforum@yahoo.com</a><br />.............................<br />ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน<br /><a href="http://onlampang.blogspot.com/2008/02/80.html">80 ปี สักเสริญ(ศักดิ์) รัตนชัยฯ</a><br /><a href="http://onlampang.blogspot.com/2008/02/blog-post.html">เว็บไซต์ข้อมูล อ.สักเสริญ(ศักดิ์) รัตนชัย</a><br /><br />หมายเหตุ : ด้วยความอนุเคราะห์จาก<strong>อาจารย์ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น</strong> แห่งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศูนย์ลำปาง เว็บบล็อกนี้จึงได้บทความที่เคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลำปาง มาเผยแพร่อีกครั้ง ตราบใดที่ระบบการสืบค้นข้อมูลความรู้เรื่องเกี่ยวกับยังมีปัญหา และจำกัดอยู่ในวงแคบ เราคิดว่าหน้าที่ในเว็บนี้จะพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดต่อไป และเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เราๆท่านๆที่มีบทความเกี่ยวกับลำปางที่น่าสนใจก็สามารถส่งมาแบ่งปันความรู้กันได้ ณ ที่แห่งนี้<br /><br /><span style="font-size:85%;">ผู้สื่อข่าว</span><br /><span style="font-size:85%;"><strong>on Lampang :</strong></span><br /><span style="font-size:85%;"><strong>เปิดโลกลำปาง</strong></span><br /><span style="font-size:85%;"></span><br /><span style="font-size:85%;">เสาร์ 13<br />ธันวา 51</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-91327926740251872162006-12-09T23:52:00.000+07:002007-01-01T12:00:19.812+07:00สรุปท้าย ฮู้คิง...ฮู้คนลำปาง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpbCiJhx7WtxzatCnKcEKqyan-DBV33IyqN9IKsm4GOtSvK3YuDNhGeKmp2JR2j_kvNngJbpDuYc2Tr0b1Lnip6YVDscoBTwQGjf1PsjyoBLiH0WZNxnS-4iHUf6R4s9ibkQLjQtHaqlnF/s1600-h/à¹à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¸¥à¸¸à¹à¸¡à¸à¸²à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸à¸¸à¹small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5006573225563429026" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpbCiJhx7WtxzatCnKcEKqyan-DBV33IyqN9IKsm4GOtSvK3YuDNhGeKmp2JR2j_kvNngJbpDuYc2Tr0b1Lnip6YVDscoBTwQGjf1PsjyoBLiH0WZNxnS-4iHUf6R4s9ibkQLjQtHaqlnF/s320/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8Csmall.jpg" border="0" /></a><br />แผนที่แสดงการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในลำปาง<br /><br /><div><strong>คนหลากหลายที่ถูกลืม</strong><br />เรามักจะมองกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง(หรือแม้ว) เมี่ยน(เย้า) กะเหรี่ยง อาข่า(อีก้อ) ลาหู่(มูเซอ)ฯลฯ ว่าเป็นชาวเขา ด้วยสายตาที่เหยียดหยาม ดูถูก หรืออย่างดีก็สมเพชเวทนา(ดังชื่อในวงเล็บเป็นชื่อที่คนไทยเรียก แต่ชื่อหน้าวงเล็บ เป็นชื่อที่เขาเรียกตนเอง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเขาก็เป็นคนที่ไม่ยอมให้ถูกเหยียดหยามเช่นเดียวกับเราๆนี่เอง) แต่ใครจะรู้เลยว่า ความรู้สึกนี้เป็นอคติที่ถูกสร้างขึ้นมา ให้มองเขาเหล่านั้นอย่างเหมารวมไปหมด ว่าเป็นพวกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ปลูกฝิ่น ขนยาบ้า ตลอดจน คนเร่ร่อน<br /><br />จะมีใครรู้บ้างไหมว่า กลุ่มชนกะเหรี่ยงนั้น เป็นชนดั้งเดิมร่วมกับชาวลัวะ<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a>(ซึ่งอยู่มาก่อนที่เจ้าอนันตยศมาสร้างเมืองเขลางค์นครเสียอีก) พวกเขากระจายตัวอยู่แทบจะทุกอำเภอของลำปาง บางกลุ่มชนอยู่มาก่อนจะมีชาติไทย แต่คนไทยกลับพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็น “คน” ด้วยการให้ร้องเพลงชาติ!!(ส่วนในกรณีที่พึ่งโยกย้ายอพยพ ก็เพราะเหตุผลว่าเขาไม่มีที่ไป เขาต้องการมีชีวิตอยู่รอด และสุขสบายตามที่สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์พึงจะได้รับเช่นกัน)<br /><br />บนความเชื่อของผู้เขียนที่เห็นความสำคัญของการเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เห็นว่าเรื่องสำคัญก็คือการเร่งทำความรู้จักตัวเอง และคนอื่นอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ไม่ใช่เพียงการเสแสร้งทำด้วยการจัดงานแสดงเพื่อการตลาดหรือท่องเที่ยวเท่านั้น โอกาสที่คนและคนจะได้รู้จักความเป็นคนด้วยกัน….มีโอกาสเป็นไปได้ไหม?<br /><strong><br />มาทีหลัง แต่ก็รักและผูกพันกับลำปาง</strong><br />หันกลับมามองกลุ่มคนอีกกลุ่มใหญ่ ก็คือ พ่อแม่พี่น้องที่มาจากหลากหลายถิ่นที่ ดังปรากฏในสถิติการสำรวจการย้ายสัมมะโนประชากร ที่เข้ามาในลำปางช่วง พ.ศ.2531 มีจำนวน 18,577 คน และในปี พ.ศ.2536 จำนวน 12,799 คน<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a>(เสียดายที่ไม่สามารถหาสถิติในระยะเวลาใกล้เคียงกว่านี้ได้) บ้างก็มาในนามราชการที่ย้ายมาตามสายงาน(อย่าลืมว่า ลำปางเคยถูกคาดหวังให้เป็น ศูนย์กลางการบริหารราชการของภาคเหนือตอนบน อยู่ช่วงสั้นๆ)<br /><br />บ้างก็เป็นพนักงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ บ้างก็เป็นพนักงานบริษัทเอกชน หรือแม้กระทั่งพ่อค้าแม่ขาย นักวิชาการ นักวิชาชีพอื่นๆ ที่ล้วนต้องการที่ทางของตนเองเช่นกัน บางคนอยู่ลำปางมาเป็นสิบๆปี บางคนอยู่มาไม่กี่ปี ล้วนอยากเป็นส่วนหนึ่งของลำปาง อยากเป็นคนลำปาง แม้จะไม่ได้มีกำเนิดอยู่ในที่แห่งนี้<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju5HQ6weqs67i2Z3NEPxofAg1gPfcu2Pznlq-VDzmUP9Zvky6nszQocCRHfa2PE2J2rjinGXsFfCeNsu5x75LsHXJf2rcaK0q38KO2PSQhkaNhpx1w0LCt0yzAKzz0d13P4_bxZxvSkcUs/s1600-h/ศาลาà¸à¸¥à¸²à¸à¹à¸«à¸¡à¹small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014341606894621858" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju5HQ6weqs67i2Z3NEPxofAg1gPfcu2Pznlq-VDzmUP9Zvky6nszQocCRHfa2PE2J2rjinGXsFfCeNsu5x75LsHXJf2rcaK0q38KO2PSQhkaNhpx1w0LCt0yzAKzz0d13P4_bxZxvSkcUs/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88small.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:180%;"><br /></span><span style="font-size:85%;">ศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง ถนนลำปาง-เด่นชัย</span><br /><br />แต่เหตุใดยังมีอคติที่ว่า เขาเหล่านั้นเป็นคนมาจากที่อื่น ไม่ใช่คนลำปาง<br /><br />อะไรคือ คนลำปางกันแน่!!!<br /><br /><strong>สร้างทางเดินร่วมกัน กับความลำปางที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา</strong><br /><br />จนถึงหน้ากระดาษนี้ หากมองอย่างหยาบๆ จะประมวลได้ว่า ผู้คนในบ้านเมืองลำปางมีอยู่ 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่<br />1) กลุ่มคนพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานอยู่มาเป็นเวลาเกือบ 200 ปีขึ้นไป อันได้แก่ คนเมืองและกลุ่มคนในวัฒนธรรมคนเมือง-ล้านนา ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วจังหวัดลำปาง<br /><br />2) กลุ่มพลังทางเศรษฐกิจทางวัฒนธรรมที่เข้ามาเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มชนพม่า จีน อินเดีย ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่ได้จำแนกให้เห็นได้ชัดในบทความที่ผ่านมา<br /><br />3) กลุ่มพลังทางเศรษฐกิจ-การเมือง-ระบบราชการ ที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาทีหลังในช่วง 50 กว่าปีที่ผ่านมา แต่มีบทบาทกำหนดกรอบคิด และนโยบายเกี่ยวกับบ้านเมืองในปัจจุบันอย่างสูง เช่น ระบบราชการจากส่วนกลาง-ภูมิภาค,กฟผ.แม่เมาะ,บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย,บริษัท ปตท. เป็นต้น<br /><br />กับกลุ่มสุดท้ายคือ 4) กลุ่มชนกลุ่มน้อย ชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งถูกเบียดขับออกจากความเป็นลำปางมากที่สุด<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqR0V38LETNhw9WMtMqe75ebiiyCaRE0smpqpE-u2Q79nNdl4YEU8HpuZugZf_G44khoVWuJhkTMBKpElvCEt-H63rimiRtKWcR02Xqn-N8D1awvgj2BwdTiowXQOUruNsgVMEAuAkLVs0/s1600-h/à¹à¸£à¸à¹à¸à¸à¹à¸²à¹à¸¡à¹à¹à¸¡à¸²à¸°small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014342027801416882" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqR0V38LETNhw9WMtMqe75ebiiyCaRE0smpqpE-u2Q79nNdl4YEU8HpuZugZf_G44khoVWuJhkTMBKpElvCEt-H63rimiRtKWcR02Xqn-N8D1awvgj2BwdTiowXQOUruNsgVMEAuAkLVs0/s400/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0small.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">โรงไฟฟ้าและเหมืองแม่เมาะ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย</span><br /><br />ลำปางในทุกวันนี้จึงมิได้มีเฉพาะคนเมือง วัฒนธรรมล้านนาที่ดูดี มีระดับและขายได้เท่านั้น เรายังมีพี่น้องผองเพื่อนอีกมากมาย รอให้รู้จัก เข้าใจ และยอมรับอีก แน่นอนว่า การรู้จักและเข้าใจกันเองนี้ยังเป็นภารกิจเบื้องต้นที่ต้องลุล่วงให้ได้<br /><br />การฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง จึงมิใช่การรู้จักเพื่อไปท่องจำ หรือสำหรับเป็นความรู้รอบตัวเฉยๆ แต่เป็นความตั้งใจที่จะจุดประกายความอยากรู้ อยากเห็นเรื่องบ้านเมือง เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนอยากรู้ อยากเห็น แต่ทำได้ด้วยสติปัญญาอันจำกัด สิ่งที่สร้างสรรค์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้<br /><br />จากฐานของสังคมที่ไร้รากและไร้ซึ่งความรู้ การถกเถียงแลกเปลี่ยนทางปัญญา ชุมนุมของผู้รู้ ผู้มีความสามารถ การแลกเปลี่ยนเผยแพร่สู่สาธารณชนจำเป็นต้องสถาปนาให้เกิดขึ้นให้ได้ มิใช่เพื่อเกียรติยศ หรือหน้าตาของใครบางคนเท่านั้น แต่การกระทำเหล่านั้นจะเป็นการสร้างคนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นภูมิต้านทานความไม่รู้ อำนาจมืดที่ครอบงำ ปิดบังทางออกของบ้านเมืองอยู่เรื่อยมา.<br /><br /><span style="font-size:85%;"><strong>บรรณานุกรม<br /></strong>1. ศักดิ์ รัตนชัย.”เมืองนคร-เมืองลำปาง” ใน ของดีนครลำปาง.2512.<br />2. ขนิษฐา ปานคง.การเปลี่ยนแปลงสภาพย่านตลาดหลักของเมืองกับการพัฒนานครลำปาง วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2543.<br /><br /><strong>เชิงอรรถ<br /></strong></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> ศักดิ์ รัตนชัย.”เมืองนคร-เมืองลำปาง” ใน ของดีนครลำปาง.2512,หน้า 29<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> ขนิษฐา ปานคง.การเปลี่ยนแปลงสภาพย่านตลาดหลักของเมืองกับการพัฒนานครลำปาง วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2543,หน้า 233-234</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-86930490809694577572006-12-09T23:50:00.000+07:002007-01-01T12:03:16.693+07:00ชาวคริสต์ในลำปาง (3)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgmfwXURIchOvHujehbQQB48ZNAXXPgIAZ2_1SmrMr4-ium47zcZsoQmDkhn6Pfqm142lcE4JrAUIFlg55MHPbixaiIY25XxPDsLOeRGK2scda_zyzXHXuqS9HS0BCvXU1U0hO7Bj-NizD/s1600-h/วิà¸à¸à¸²à¸à¸²à¸£à¸µsmall.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014348126654977314" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgmfwXURIchOvHujehbQQB48ZNAXXPgIAZ2_1SmrMr4-ium47zcZsoQmDkhn6Pfqm142lcE4JrAUIFlg55MHPbixaiIY25XxPDsLOeRGK2scda_zyzXHXuqS9HS0BCvXU1U0hO7Bj-NizD/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5small.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">โรงเรียนวิชชานารี</span><br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณสุวภรณ์ ชูโต]</span><br /><br /><div><strong>ศาสนาคริสต์กับพัฒนาการบ้านเมือง</strong><br />คุณูปการด้านการแพทย์ การรักษาพยาบาลแบบตะวันตก ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญแทนการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิม(สมุนไพร รวมไปถึงการเป่า การนับถือผีต่างๆด้วย ซึ่งนับเป็นการท้าทายโลกทัศน์แบบเดิมด้วยความคิดแบบตะวันตกที่ใกล้ตัวมาก) มีบันทึกไว้ว่าเริ่มดำเนินการเมื่อพ.ศ.2428 จากเงินพระราชทานของรัชกาลที่ 5 โดยนายแพทย์ซามูเอล พีเพิลส์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก เดิมชื่อ โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a><br /><br />และได้เปลี่ยนชื่อเรื่อยมาจนปัจจุบันคือ โรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด (มีความพยายามเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาลอีกหลายครั้งเช่น โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลประจำถิ่น โรงพยาบาลวิชิตสงคราม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a>) การรักษาพยาบาลยังมีการปฏิบัตินอกสถานที่ด้วย กล่าวคือ มีการจัดคลินิกในย่านชุมชนของคนจีน(ไม่ทราบว่าบริเวณตลาดจีน หรือสบตุ๋ย?)<br /><br />ในส่วนของภารกิจสนับสนุนการศึกษา มีพื้นฐานเนื่องมาจากการทำงาน(ซึ่งเป็นค่านิยม-โลกทัศน์ของนิกายโปรเตสแตนท์) ทั้งแบบของเด็กหญิงและเด็กชาย ในกรณีเด็กหญิงนั้นมีการจัดชั้นเรียนพระคัมภีร์และสอนวิชาเย็บปักถักร้อย เรียกชื่อว่า โรงเรียนวันสะบาโต-Sabbath Schoolในที่สุดก็ได้พัฒนาจนสามารถจัดตั้งเป็นโรงเรียน เมื่อพ.ศ.2431 โดยได้รับบริจาคเงินจากมิตรสหาย และไม้สักจาก บริษัทบอร์เนียวและบอมเบย์เบอร์ม่าซึ่งเป็นบริษัททำไม้ มาสร้างอาคารเรียน<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a> ในปีพ.ศ.2444<br /><br />แล้วเสร็จในปีพ.ศ.2447<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a> ได้ชื่อว่า โรงเรียนสตรีละกอน(ละกอนเกิร์ลสกูล-Lakawn Girls school) แต่ในปีพ.ศ.2468 มีการใชื่อว่า สตรีอเมริกัน และครั้งหลังสุด คือ พ.ศ.2475 ใช้ชื่อว่า วิชชานารี บุคลากรสำคัญที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนนี้ได้แก่ คุณครูทองฟัก เพ็ชรสุวรรณ คุณหญิงวลัย ลีลานุช คุณศรีวรรณ สิริวิสาล<a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn5" name="_ednref5">[5]</a>ฯลฯ<br /><br />ในส่วนของเด็กชายนั้น ได้กำเนิดในช่วงพ.ศ.2433 โดย นายแพทย์ซามูเอล ซี. พีเพิลส์(ผู้ดูแลคริสจักรที่1 และโรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่นด้วย) ถือว่าเป็นโรงเรียนแบบอาชีวศึกษาดังปรากฏการสอนด้านการเกษตรและโรงฟอกหนัง(ซึ่งโรงเรียนผลิตเข็มขัดและรองเท้าขายให้กับกองทัพบกด้วย)ในพ.ศ.2454 หรือการเปิดแผนกปั่นด้าย ปั้นหม้อ พ.ศ.2462 ในระยะแรกโรงเรียนมีชื่อว่า ละกอนบอยสกูล-Lakawn boy’s school<br /><br />ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี ท่ามกลางไฟสงคราม ทำให้โรงเรียนต้องย้ายที่ทำการไปหลายที่ เช่น พ.ศ.2489 ไปเปิดสอนในชื่อโรงเรียน ขวัญนคร บริเวณโรงเรียนเทศบาล4 พ.ศ.2490 ก็ได้เช่าสถานกงสุลอังกฤษ(กองบังคับการตำรวจภูธรปัจจุบัน) ใช้ชื่อ เคนเน็ตแมคเคนซีดังเดิม แล้วย้ายกลับไปที่แรกสร้าง เมื่อพ.ศ.2494<a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn6" name="_ednref6">[6]</a> โรงเรียนแห่งนี้ยังผลิตบุคลากรคนสำคัญของบ้านเมืองอันได้แก่ ส.ส.บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ส.ส.พินิจ จันทรสุรินทร์ นายบุญเรือง ชุ่มอินทรจักร์<a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn7" name="_ednref7">[7]</a>ฯลฯ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwoA3Y4y72gLDYRtgZ0tdXxReXWO5z2R7rhgx0tkL1giYE_u6Vq0jAWYCmoNI1ti1U-CvVO8qjob4iTjqn29BpFssGKtO8V68GV-AESfesxd6RRbJjbat2w6zPwcrgiiTnm5e2MhifBxmA/s1600-h/หอละà¸à¸­à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¸small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014348281273799986" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwoA3Y4y72gLDYRtgZ0tdXxReXWO5z2R7rhgx0tkL1giYE_u6Vq0jAWYCmoNI1ti1U-CvVO8qjob4iTjqn29BpFssGKtO8V68GV-AESfesxd6RRbJjbat2w6zPwcrgiiTnm5e2MhifBxmA/s400/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95small.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">หอละกอน โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี</span><br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณอนิรุทธิ์ อินทิมา]</span><br /><br /><strong>ฉากสำคัญ เมื่อครั้งรัชกาลที่7 เสด็จเยี่ยม จนถึง สงครามโลกครั้งที่2<br /></strong>แม้จะเป็นชุมชนชาวคริสต์จะมีไม่มากนัก แต่ก็มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของเจ้านายหลายครั้งหลายครา(หรือไม่เช่นนั้น ก็เป็นเพราะว่าชุมชนกลุ่มอื่นมิได้มีการบันทึกไว้) เช่นในพ.ศ.2469 คราวที่รัชกาลที่7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้เสด็จประพาสลำปาง นักเรียนสตรีอเมริกันได้ตั้งแถวรับเสด็จ<a title="" style="mso-endnote-id: edn8" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn8" name="_ednref8">[8]</a> เช่นเดียวกับโรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี<a title="" style="mso-endnote-id: edn9" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn9" name="_ednref9">[9]</a><br /><br />พ.ศ.2472 สมเด็จพระศรีวรินทราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า เสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวไลยลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร และสมเด็จกรมพระกำแพงเพ็ชร์อัครโยธิน เสด็จเยี่ยมโรงเรียนสตรีอเมริกัน<a title="" style="mso-endnote-id: edn10" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn10" name="_ednref10">[10]</a> และร่วมฉลองคริสต์มาสที่โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี<a title="" style="mso-endnote-id: edn11" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn11" name="_ednref11">[11]</a><br /><br />พ.ศ.2475 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานชื่อ วิชชานารี แทนชื่อ สตรีอเมริกัน<a title="" style="mso-endnote-id: edn12" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn12" name="_ednref12">[12]</a> พ.ศ.2493 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่7 เสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลแวนแซนวูร์ดเป็นการส่วนพระองค์<a title="" style="mso-endnote-id: edn13" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn13" name="_ednref13">[13]</a> พ.ศ.2507 สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ได้เสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด<a title="" style="mso-endnote-id: edn14" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn14" name="_ednref14">[14]</a><br /><br />สมัยสงครามโลกครั้งที่2 รัฐบาลสยามรับรองการตั้งฐานทัพและยินยอมให้ญี่ปุ่นกรีธาทัพผ่าน อาคารสถานที่ของชาวตะวันตกที่อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร(ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา)ถูกยึด ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน โรงพยาบาล โบสถ์ ในส่วนของชาวอเมริกัน จึงประสบความยากลำบากในการดำเนินงาน บางแห่งต้องเปลี่ยนชื่อ บางแห่งต้องย้ายโรงเรียนหนี<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjp2kWXqo-meHp3Iduwwlxmon28DZRvXWInKmMKMgP3yq1xQ4e1zV9-ZRUIE7e6zif9bKhLgIcT_hFQnJmHzxE5xW3Xl57E210yUzONXtSzRUZoBvISbSYkEtAlNhCmNfHA-W1LTUmxvxmT/s1600-h/à¸"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014348904044057922" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjp2kWXqo-meHp3Iduwwlxmon28DZRvXWInKmMKMgP3yq1xQ4e1zV9-ZRUIE7e6zif9bKhLgIcT_hFQnJmHzxE5xW3Xl57E210yUzONXtSzRUZoBvISbSYkEtAlNhCmNfHA-W1LTUmxvxmT/s400/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B8%8A%E0%B9%8C40%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%93%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">ภาพวาดแสดงสภาพ โรงเรียนอรุโณทัยเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว</span> </div><div><span style="font-size:78%;">[ที่มา : สุวรรณสมโภชโรงเรียนอรุโณทัย, ลำปาง : จิตวัฒนาการพิมพ์, 2545]</span><br /><br /><strong>ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก</strong><br />แม้จะเข้ามาทีหลัง คริสตชนกลุ่มนี้ ได้มาลงหลักปักฐานทำมาหากินอยู่บริเวณ บ้านดอนปาน ต.สบตุ๋ย อ.เมือง ลำปาง แต่ยังไม่มีพระสงฆ์(โรมันคาทอลิก) จนกระทั่งปีพ.ศ.2452 ถึงได้มีการส่งพระธรรมทูตขึ้นมาเผยแพร่ ดังปรากฏว่า คุณพ่อนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก จนได้ก่อสร้างวัดขึ้นเมื่อพ.ศ.2494 ชื่อ วัดโรมันคาทอลิกลำปาง ณ บริเวณสวนผักเดิม<a title="" style="mso-endnote-id: edn15" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn15" name="_ednref15">[15]</a><br /><br />แต่มีบทบาทโดดเด่นมากในด้านการศึกษา ได้แก่ การจัดตั้งโรงเรียนอรุโณทัย พ.ศ.2495 และโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง พ.ศ.2501 สถานศึกษาหลังนี้มีบุคคลสำคัญในบ้านเมืองจบการศึกษามาจำนวนมาก และมีความหลากหลายของวิชาชีพ อันได้แก่ <strong>ดร.นิมิตร จิวะสันติการ</strong> นายกเทศมนตรี <strong>ศาสตราจารย์ สุรพล ดำริห์กุล</strong> <strong>รองศาสตราจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์</strong> <a title="" style="mso-endnote-id: edn16" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn16" name="_ednref16">[16]</a> ฯลฯ<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวคริสต์ลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br /><strong>อ้างอิงจาก</strong><br />1. ตวงธรรม สุริยคำ.”ชื่อของโรงพยาบาลนี้” ใน แวนแซนวูร์ดอนุสรณ์ ที่ระลึก เนื่องในพิธีเปิด ตึกพยาบาลสองชั้นปีกซ้าย ตึกปรุงอาหารคมสัน 2496 และเรือนศพ.พงส์วรุตม์ : ลำปาง,2496.<br />2. วัดแม่พระประจักษ์แห่งลูร์ดลำปาง.เอกสารอัดสำเนา<br />3. วีรยุทธ จงสถาพรพงศ์.“ศิษย์เก่าก้าวหน้า” ใน หนังสืออนุสรณ์ เคนเน็ตแม็คเคนซี 100 ปี,2533.<br />4. หนังสืออนุสรณ์ 100 ปี วิชชานารี ค.ศ.1889-1989.กิจเสรีการพิมพ์ : ลำปาง,2532.<br />5. อนิรุทธิ์ อินทิมา.”โบสถ์ฟลีสันแมมโมเรียล” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543.<br />6. อนิรุทธิ์ อินทิมา.”สถานีมิชชั่นลำปาง” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543.<br />7. อเนก วงศ์ตระกูล และคณะ.บันทึกอัสสัมชัญลำปาง.พริ้นท์ แอนด์ คอนโทรล : กรุงเทพฯ,2545.<br /><br /><strong>เชิงอรรถ</strong><br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”สถานีมิชชั่นลำปาง” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543,หน้า 37<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> ตวงธรรม สุริยคำ.”ชื่อของโรงพยาบาลนี้” ใน แวนแซนวูร์ดอนุสรณ์ ที่ระลึก เนื่องในพิธีเปิด ตึกพยาบาลสองชั้นปีกซ้าย ตึกปรุงอาหารคมสัน 2496 และเรือนศพ.พงส์วรุตม์ : ลำปาง,2496,หน้า 31<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”โบสถ์ฟลีสันแมมโมเรียล” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543,หน้า 31<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”สถานีมิชชั่นลำปาง” อ้างแล้ว หน้า 39<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref5" name="_edn5"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูใน หนังสืออนุสรณ์ 100 ปี วิชชานารี ค.ศ.1889-1989.กิจเสรีการพิมพ์ : ลำปาง,2532.<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref6" name="_edn6"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 41-43<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref7" name="_edn7"><span style="font-size:85%;">[7]</span></a><span style="font-size:85%;"> วีรยุทธ จงสถาพรพงศ์.“ศิษย์เก่าก้าวหน้า” ใน หนังสืออนุสรณ์ เคนเน็ตแม็คเคนซี 100 ปี,2533.<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn8" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref8" name="_edn8"><span style="font-size:85%;">[8]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 39<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn9" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref9" name="_edn9"><span style="font-size:85%;">[9]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า42<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn10" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref10" name="_edn10"><span style="font-size:85%;">[10]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 40<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn11" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref11" name="_edn11"><span style="font-size:85%;">[11]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 42<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn12" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref12" name="_edn12"><span style="font-size:85%;">[12]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 40<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn13" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref13" name="_edn13"><span style="font-size:85%;">[13]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 38<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn14" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref14" name="_edn14"><span style="font-size:85%;">[14]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn15" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref15" name="_edn15"><span style="font-size:85%;">[15]</span></a><span style="font-size:85%;"> วัดแม่พระประจักษ์แห่งลูร์ดลำปาง.เอกสารอัดสำเนา<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn16" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref16" name="_edn16"><span style="font-size:85%;">[16]</span></a><span style="font-size:85%;"> อเนก วงศ์ตระกูล และคณะ.บันทึกอัสสัมชัญลำปาง.พริ้นท์ แอนด์ คอนโทรล : กรุงเทพฯ,2545</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-49686947537354078952006-12-09T23:48:00.000+07:002007-01-01T11:52:18.343+07:00ชาวคริสต์ในลำปาง (2)<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-O5TUV7Y4O6xkETqTHI0f2SyzbHchrB3MEMgCnm58iRrEpm_6PIQCL_CW-QxSR2Jl2OmY5y66Dvkqu2I0LLhEgjTS7XDCioARpAWSm5ClOVslCW6lFg_KtMXJUknxUa36EZ_xANc3rJ6g/s1600-h/à¸à¸£à¹à¸à¸à¸²à¸à¸²à¸à¸§à¸´à¸¥à¸ªà¸±à¸small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014345493840024818" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-O5TUV7Y4O6xkETqTHI0f2SyzbHchrB3MEMgCnm58iRrEpm_6PIQCL_CW-QxSR2Jl2OmY5y66Dvkqu2I0LLhEgjTS7XDCioARpAWSm5ClOVslCW6lFg_KtMXJUknxUa36EZ_xANc3rJ6g/s400/%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99small.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน(พ.ศ.2373-2454)<br /></span><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณอนิรุทธิ์ อินทิมา]<br /></span><br /><div><strong>ศาสนาคริสต์บนแผ่นดินนครลำปาง</strong><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1"><strong>[1]</strong></a><br />จวบจนกระทั่งพ.ศ.2421 ตามบันทึกของมิชชันนารีที่เชียงใหม่ กล่าวไว้ว่า มีชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งเข้าไปหา ที่เชียงใหม่ และกล่าวทักทายตามภาษาที่มีในพระคัมภีร์ไบเบิล ชายคนนั้นก็คือ พญาสีหนาท ชายคนนี้มีตำแหน่งในสูงในเค้าสนามเมืองลำปาง กล่าวกันว่าเคยติดตามเจ้าหลวงลงไปกรุงเทพฯ และได้รับพระคัมภีร์ไบเบิลจากหมอบรัดเลย์! ในที่สุดท่านก็ได้รับเชื่อคริสต์ศาสนารับศีลบัพติศมาเป็นคริสเตียน<br /><br />สาเหตุอาจเนื่องมาจากความขัดแย้งกับเค้าสนาม ราชสำนักลำปาง ประกอบกับความสนใจเป็นทุนเดิม อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ท่านสูญเสียยศฐาบรรดาศักดิ์และหน้าที่การงานที่เคยมีทั้งหมด (อย่างไรก็ดีนับว่ายังโชคดีกว่าเชียงใหม่ ที่ผู้รับเชื่อหลายท่านถูกประหารชีวิต เนื่องจาก ได้ส่งผลต่อระบบความคิดความเชื่อ และสะเทือนมาถึงอำนาจของเจ้าชีวิต ที่เคยมีเหนือไพร่ของตน ซึ่งไพร่ที่รับเชื่อ บังอาจขัดขืนคำสั่งเกณฑ์แรงงานในวันอาทิตย์ ตามหลักปฏิบัติคำสอนของคริสตศาสนา)<br /><br />เพียง 2 ปีต่อมา เมื่อพ.ศ.2423 พญาสีหนาทก็สามารถจัดตั้ง คริสตจักรขึ้น ณ เมืองนครลำปางได้สำเร็จ โดยมีพญาสีหนาทเป็นผู้นำคริสตจักร<br /><br />ที่น่าสนใจก็คือ การได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสยามที่ผ่านมาทาง กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ประจำเชียงใหม่ เนื่องในการจัดตั้งศูนย์มิชชั่น ซึ่งได้รับมอบที่ดินสำหรับตั้งบ้านพัก สำนักงาน รวมทั้งทุนทรัพย์จำนวน 2,000 รูปี ในการจัดตั้งโรงพยาบาลแบบตะวันตก เมื่อพ.ศ.2428<br /><br /><strong>การเมือง การคานอำนาจระหว่างกันของประเทศตะวันตก</strong><br />วิถีชีวิตของคริสตชนที่แปลกไปจากเดิม น่าจะส่งผลความขัดแย้งในประเพณีปฏิบัติในจารีตดั้งเดิม ดังที่ปรากฏว่า มิชชันนารีได้ร้องเรียนไปยังราชสำนักกรุงเทพฯ ในเรื่อง เหตุการณ์ขัดแย้งการแต่งงานตามประเพณีคริสต์และประเพณีดั้งเดิม จึงสันนิษฐานได้ว่า พระบรมราชโองการ รัชกาลที่ 5 เรื่อง <strong>เสรีภาพทางศาสนา(Edict of the toleration)</strong><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a> ซึ่งน่าจะเป็นการหนุน การนับถือศาสนาพระเยซูเจ้า มากกว่าสิ่งใด<br /><br />ที่น่าสนใจก็คือว่า ไฉนรัฐบาลสยามจึงดูเอาใจ ชาวคริสต์เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่การมอบที่ดิน ทรัพย์ และการคุ้มครองทางกฏหมายในการนับถือศาสนา อาจเป็นเนื่องเพราะช่วงนั้นประเทศตะวันตกทั้งหลายเข้ามามีอำนาจเหนือดินแดนต่างๆไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจเก่าอย่างจีน อินเดีย หรือแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างพม่า เวียดนาม เขมร ลาว ฉะนั้นนโยบายสำคัญก็คือ การสนับสนุนกิจการของชาวตะวันตก(เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่า ล้าหลัง ป่าเถื่อน ซึ่งมักเป็นข้ออ้างในการยึดดินแดน) และการสร้างเงื่อนไขการคานอำนาจกันเองของประเทศตะวันตก<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_UePEobDOCVMYEtV24Pa9VdTwOe6Ez6znGehYWBP3DtVIATTd55Bh9xvQoQaPaGEvIkTTRzlVX8cmhGxZRUS-3cxjJXDolxIMFZ2Wsh9qzQL4iE5b7L59g1V8aZzSk9sKeo9LEK9xD_D_/s1600-h/à¹à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¸¸à¸¡à¸à¸à¸­à¹à¸¡à¸£à¸´à¸à¸±à¸à¹à¸¥à¸°à¸à¸¸à¸¡à¸à¸à¸­à¸±à¸à¸à¸¤à¸©.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014345773012899074" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_UePEobDOCVMYEtV24Pa9VdTwOe6Ez6znGehYWBP3DtVIATTd55Bh9xvQoQaPaGEvIkTTRzlVX8cmhGxZRUS-3cxjJXDolxIMFZ2Wsh9qzQL4iE5b7L59g1V8aZzSk9sKeo9LEK9xD_D_/s400/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">แผนที่เมืองนครลำปาง แสดงการกระจายตัวของผู้คน : ฝั่งตะวันตกอันเป็นที่อยู่ของชาวอเมริกัน ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นที่อยู่ของชาวอังกฤษ</span><br /><br />หากจะมองในทางกายภาพ และการตั้งถิ่นฐานจะพบ 2 ชุมชนสำคัญได้แก่ ชุมชนชาวอเมริกัน ในนามของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา ณ คริสจักรที่1(โบสถ์คริสต์ข้างโรงเรียนวิชชานารี) การศึกษา และการแพทย์ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของถนนรัษฎา ซึ่งอีกฟากฝั่งคือ แหล่งชุมชนชาวอังกฤษ อันมีศูนย์กลางอยู่ที่ สถานกงสุลอังกฤษ อยู่บริเวณ กองบังคับการตำรวจภูธร จ.ลำปาง ในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งยืนอยู่บนผลประโยชน์ การค้าไม้สัก ทั้งในหัวเมืองเหนือ ต่อเนื่องไปยังพม่า ดังนั้นทางฝั่งตะวันออกของถนนรัษฎา ยังปรากฏ อาคารสำนักงาน ของบริษัทค้าไม้อังกฤษ แม้กระทั่งอาคารบ้านเรือน<br /><br /><strong>ก่อรูป-บ่มเพาะ<br /></strong>เดิมนั้นเมื่อสถานีมิชชั่นได้มาเปิดทำการ มีครอบครัวนายแพทย์ซามูเอล และนางซาราห์ พีเพิลส์ เป็นมิชชันนารีครอบครัวแรก ใช้บ้านพญาสีหนาท เป็นที่ทำการ แต่ภารกิจของนายแพทย์ซามูเอล ต้องใช้เวลาในการรักษาผู้ป่วยจึงไม่มีเวลามากนักในการ ภายหลัง ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน ย้ายมาทำงาน ณ เมืองนครลำปาง ในตำแหน่งศิษยาภิบาล ของคริสตจักรที่ 1 ลำปาง เมื่อพ.ศ.2431<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a> พร้อมกับหลานสาวคือ มิสแคทรีน ฟลีสัน<br /><br />ท่านและหลานสาวได้เปิดชั้นเรียนในวันอาทิตย์ที่จะสอนภาษาพื้นเมือง โดยมี หนานพรหม ชาวแจ้ห่มเป็นผู้ช่วย นักร้องเพลงสวด ท่านยังเป็นผู้แปลเพลงสวด(เพลงนมัสการพระเจ้า หรือ Hymnal)จากภาษาอังกฤษเป็นคำเมืองกว่า 500 เพลงซึ่งบทเพลงดังกล่าวได้ตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2438 และ พ.ศ.2448<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a> ซึ่งเป็นผลงานสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของท่าน<br /><br />นอกจากนั้นศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน ยังเป็นผู้ริเริ่มสร้างโบสถ์ฟลีสันเมโมเรียล ร่วมกับพ่อครูเทเลอร์ (ศาสนาจารย์ ฮิวจ์ เทเลอร์) ที่เริ่มสร้างในปีพ.ศ.2452 มาแล้วเสร็จเอาเมื่อปีพ.ศ.2469<a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn5" name="_ednref5">[5]</a> อย่างไรก็ตามศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน ที่ใช้เวลาเผยแพร่ศาสนาในลำปางเป็นเวลากว่า 23 ปี ก็ไม่สามารถอยู่ถึงวันที่โบสถ์เสร็จ ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อพ.ศ.2454 อายุได้ 81 ปี<a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn6" name="_ednref6">[6]</a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjURpmv63iXjPFMzNqOBNDFuMXg5Vs-R5wss9J1-La3KVPbcLmkGZjuzbAqxCNraF6DorTq3rQ3B38CRm-GkTydOaYmfz8BbeS0VDIe9iLRu7HJOYr_fRV5RafODqNQXZNP9toa5Drhl1Bc/s1600-h/à¹à¸à¸ªà¸à¹à¸à¸¥à¸µà¸ªà¸±à¸small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014346112315315474" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjURpmv63iXjPFMzNqOBNDFuMXg5Vs-R5wss9J1-La3KVPbcLmkGZjuzbAqxCNraF6DorTq3rQ3B38CRm-GkTydOaYmfz8BbeS0VDIe9iLRu7HJOYr_fRV5RafODqNQXZNP9toa5Drhl1Bc/s400/%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99small.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">โบสถ์ฟลีสันแมโมเรียล ข้างโรงเรียนวิชชานารี สร้างเมื่อพ.ศ.2452</span><br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณอนิรุทธิ์ อินทิมา]</span><br /><br />มีการอ้างว่า ชุมชนคริสเตียนลำปางแม้เป็นเพียงคนกลุ่มน้อย ที่รวมกันแล้วไม่ถึง 2 พันคน เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลับพบว่า หลายท่านได้มีบทบาทในนามนักการเมืองท้องถิ่น(ซึ่งไม่ปรากฏความสำคัญดังกล่าวในจังหวัดอื่นๆ) ได้แก่ ศจ.ดวงดี ทิพย์มาบุตร อาจารย์วิริยะ พูลวิริยะ นายแพทย์สมคิด มานะรัตน์ ซึ่งเป็นถึงเทศมนตรีเมืองลำปาง หรือบางท่านที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเทศบาล(สท.) ได้แก่ นายแพทย์รัศมี สุทธิคำ นายปุ่น ปั้นแหน่งเพ็ชร นายวิเชียร อินทิมา และผป.ผัน ศรีสุระ<a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn7" name="_ednref7">[7]</a><br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวคริสต์ลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br /><strong>อ้างอิงจาก<br /></strong>1. ประสิทธิ์ พงศ์อุดม.”คริสต์ศาสนากับการมีส่วนร่วมในพัฒนาการทางสังคมของลำปาง : ศึกษาบทบาทมิชชันนารีอเมริกันระหว่าง ค.ศ.1880-1940(พ.ศ.2423-2483)” ใน ลำปางเมื่อห้วงหนึ่งศตวรรษ.จิตวัฒนาการพิมพ์ : ลำปาง,2544.<br />2. พิษณุ อรรฆภิญญ์.”สง่างามเมืองลคร” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543.<br />3. อนิรุทธิ์ อินทิมา.”โบสถ์ฟลีสันแมมโมเรียล” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543.<br />4. อนิรุทธิ์ อินทิมา.”ประวัติความเป็นมาของคริสตจักรที่ 1 ลำปาง” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง,2543.<br />5. อนิรุทธิ์ อินทิมา.”ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน : ศิษยาภิบาลคนแรกของคริสตจักรละกอน” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง,2543.<br /><br /><strong>เชิงอรรถ<br /></strong></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> ประสิทธิ์ พงศ์อุดม.”คริสต์ศาสนากับการมีส่วนร่วมในพัฒนาการทางสังคมของลำปาง : ศึกษาบทบาทมิชชันนารีอเมริกันระหว่าง ค.ศ.1880-1940(พ.ศ.2423-2483)” ใน ลำปางเมื่อห้วงหนึ่งศตวรรษ.จิตวัฒนาการพิมพ์ : ลำปาง,2544,หน้า 66-68<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 68<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”ประวัติความเป็นมาของคริสตจักรที่ 1 ลำปาง” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง,2543,หน้า 26<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน : ศิษยาภิบาลคนแรกของคริสตจักรละกอน” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง,2543,หน้า 33-34<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref5" name="_edn5"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”โบสถ์ฟลีสันแมมโมเรียล” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543,หน้า 31<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref6" name="_edn6"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> อนิรุทธิ์ อินทิมา.”ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน : ศิษยาภิบาลคนแรกของคริสตจักรละกอน” อ้างแล้ว หน้า 34<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref7" name="_edn7"><span style="font-size:85%;">[7]</span></a><span style="font-size:85%;"> พิษณุ อรรฆภิญญ์.”สง่างามเมืองลคร” ใน คริสตจักรที่ 1ลำปาง ค.ศ.1880-2000 120 ปี โมทนาพระคุณเจ้า.2543.จิตวัฒนาการพิมพ์ลำปาง : ลำปาง, 2543,หน้า 22</span></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-85392774399946249432006-12-09T23:45:00.000+07:002007-01-01T11:54:25.669+07:00ชาวคริสต์ในลำปาง (1)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhJoFJknjTucgnlDxL7bJBg9VAojkrFTFRi-EADHYRtHC7gSCJH3jFAvqH3grIVgyUB9ICUAP7fUED_85qO3xgr92ykh8RrU4U-BsygS44q_957u9v3I0AUdqiugMeS0L27CHIV13HmjQI/s1600-h/à¹à¸à¸à¸à¹à¸à¸µà¹à¸à¸­à¸£à¹.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014344140925326530" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhJoFJknjTucgnlDxL7bJBg9VAojkrFTFRi-EADHYRtHC7gSCJH3jFAvqH3grIVgyUB9ICUAP7fUED_85qO3xgr92ykh8RrU4U-BsygS44q_957u9v3I0AUdqiugMeS0L27CHIV13HmjQI/s400/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครวาติกัน</span><br /><br /><div><strong>ศาสนาคริสต์ในหลายบริบท คาทอลิก โปรเตสแตนท์ และอื่นๆ</strong><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1"><strong>[1]</strong></a><br />ดังที่ใครๆทราบมาแล้วว่า ศาสนาคริสต์ได้ถือกำเนิดเมื่อราว 2,006 ปีที่แล้ว (พ.ศ.543 นับเป็นคริสตศักราชที่1) พร้อมกับพระเยซูไครสต์ ที่ถือกำเนิด ณ ตำบลเบธเลเฮม ดินแดนในประเทศปาเลสไตน์ในปัจจุบัน เป็นบุตรของโยเซฟและนางมาเรีย แต่เดิมนั้นศาสนาคริต์ถูกบีบบังคับอย่างมาก ดังเหตุการณ์สำคัญที่เรียกกันว่า อาหารมื้อสุดท้าย (The last supper) ที่หลังจากนั้นก็ถูกทหารโรมันจับ จนถูกพิพากษาให้ตึงไม้กางเขน ในพ.ศ.575 เมื่อพระชนมายุได้ 32 พรรษาเท่านั้น ทั้งยังทรงกล่าวปัจฉิมพจน์ไว้ว่า “ขอทรงยกโทษให้เขา เพราะเขาได้ทำไปในสิ่งที่เขาไม่รู้” ซึ่งแสดงถึงความรักความเมตตาของมนุษยชาติอย่างสูง<br /><br />อย่างไรก็ตามเมื่อยุคสมัย เงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจเปลี่ยนไป จากศาสนิกชนที่ต้องหลบๆซ่อนๆในการนับถือ ศาสนาคริสต์ ในเวลาต่อมา กลับกลายมาเป็นศาสนาสำคัญของอาณาจักรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโรมันตอนปลาย สมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ที่ประกาศว่าคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อต้นคริสตวรรษที่ 4(ค.ศ.300-399 ราว พ.ศ.843-942) ก่อตัวเรื่อยมา<br /><br />จนคริสตจักรเรืองอำนาจในสมัยกลางของยุโรป ราวค.ศ.500-1300(พ.ศ.1043-1843) <a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a> ที่เกิดความขัดแย้งทางความคิดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของศาสนาคือ การปฏิรูปโดย แบ่งแยก พวกปฏิรูป(โปรเตสแตนท์-Protestant ไทยเรียก คริสเตียนตามภาษาอังกฤษ) ออกมาโดยไม่ขึ้นกับคริสตจักรเดิม(ไทยเรียก คริสตัง ตามเสียงฝรั่งเศส)<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a> ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ นครวาติกัน แรงผลักดันนั้นเองทำให้แนวความคิดของศาสนาคริสต์ มีความหลากหลายขึ้นกว่าเดิม รองรับความเชื่อ และชีวิตในยุคสมัยต่างๆกัน เช่น การกำเนิดของ นิกายออร์ธอดอกซ์ รวมไปถึงนิกายอิงลิชเชิร์ช ที่อังกฤษ<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a><br /><br /><strong>คริสตศาสนาบนผืนดินสยามประเทศ</strong><br />คนสยามมึโอกาสรู้จักศาสนาคริสต์มาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะกล่าวถึง ชาวคริสต์ในดินแดนล้านนาประเทศในยุคร่วมสมัยเดียวกัน(ดังที่ปรากฏหลักฐานภาพวาดกรุงศรีอยุธยา ปัตตานี ในยุคดังกล่าว) ชาวคริสต์ในกรุงศรีอยุธยามาพร้อมกับบาทหลวง พ่อค้าและทหารรับจ้าง(เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าสำคัญ ที่มีผลประโยชน์ในการค้าขายมหาศาล)<br /><br />ดังปรากฏ ชุมชนคริสเตียน 3 โบสถ์ ในกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ คณะฟรานซิสกัน คณะโดมินิกัน และคณะเยซูอิต แต่ก็ล่มสลายพร้อมๆไปกับกรุงศรีอยุธยา หลังจากเสียกรุงครั้งที่2 ในพ.ศ.2310 แต่อย่างไรก็ตาม ในสมัยธนบุรี มีทหารอาสาชาวโปรตุเกส มาตั้งเป็นชุมชนใหม่เรียกว่า “ฝรั่งกุฎีจีน” มีศูนย์กลางอยู่ที่ โบสถ์วัดซางตาครู้ส ธนบุรี<a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn5" name="_ednref5">[5]</a><br /><br />คริสต์ศาสนาที่เข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล้วน เป็นนิกายโรมันคาทอลิก ที่แพร่หลายอยู่บริเวณตอนใต้ของยุโรป อันได้แก่ สเปน โปรตุเกส เป็นต้น พอล่วงมาถึง สมัยรัตนโกสินทร์ คริสต์ศาสนาที่เข้ามาพร้อมกับมิชชันนารีนั้น ล้วนแต่เป็นนิกายโปรเตสแตนท์ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงไม่โปรดพวกมิชชันนารี และคนไทยที่เชื่อก็ถูกจองจำลงโทษ เพราะในยุคนั้นการล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตกปรากฏให้เห็นชัด แต่ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 กลับเปลี่ยนนโยบายทางต่างประเทศ ที่พระองค์ทรงเมตตาต่อบรรดามิชชันนารี พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ จากผู้ประกาศกิตติคุณ<a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn6" name="_ednref6">[6]</a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjF5Ef_f0V5u2Z0S78PGAOQWm1gjofGBzvC7ST6vUpn1jTqaTuQ0JRgGzmyVcgBd3wJnObwr5zDwjTVEfPuG-OmOWkbJ12Lz1HdeLu8G72_HTQ05XPea5sqRy5JEQGoYzPtGiwXcYyuOW_a/s1600-h/Bradleyà¸à¸²à¸§à¸à¸³.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014344368558593234" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjF5Ef_f0V5u2Z0S78PGAOQWm1gjofGBzvC7ST6vUpn1jTqaTuQ0JRgGzmyVcgBd3wJnObwr5zDwjTVEfPuG-OmOWkbJ12Lz1HdeLu8G72_HTQ05XPea5sqRy5JEQGoYzPtGiwXcYyuOW_a/s400/Bradley%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B3.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:78%;"><br />นายแพทย์ แดน บีช บรัดเลย์ หรือหมอบรัดเลย์</span><br /><strong><br />การเผยแพร่ศาสนา ที่มาพร้อมกับ เทคโนโลยีการพิมพ์, การแพทย์, การศึกษา ฯลฯ</strong><br />ดังที่กล่าวมาแล้วว่า รัชกาลที่ 4 ทรงเรียนรู้เรื่องราวมากหลายจากมิชชันนารี หนึ่งในนั้นที่จะอดกล่าวถึงไม่ได้เลยคือ นายแพทย์ แดน บีช บรัดเลย์(พ.ศ.2347-2416) หรือหมอบรัดเลย์ มีบทบาทสำคัญในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การเผยแพร่ศาสนา การรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน(แบบตะวันตก) โดยริเริ่มให้มีการปลูกฝี การเขียนตำราผดุงครรภ์ ชื่อว่า ครรถ์ทรักษา<br /><br />แม้กระทั่งการรักษาโดยการผ่าตัดเอง หมอบรัดเลย์ก็ฝากฝีมือไว้ และคุณูปการสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการเรียนรู้คือ การริเริ่มเทคโนโลยีการพิมพ์หนังสือ เพื่อพิมพ์เผยแพร่ศาสนา รวมถึงตำราวิทยาการความรู้ต่างๆ เช่น คัมภีร์การปลูกฝี พ.ศ.2382 กฎหมายว่าด้วยการจอดเรือ พ.ศ.2402 พงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์ พ.ศ.2407 สามก๊ก พ.ศ.2408<br /><br />หรือแม้แต่ อักขราภิธานศรับท์ ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือพจนานุกรมภาษาไทยเล่มแรก เมื่อ พ.ศ.2416<a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn7" name="_ednref7">[7]</a> เหล่านี้เองจะทำให้บรรยากาศความคึกคักของบ้านเมืองในระดับหนึ่ง ที่ได้รับเมื่อคราวที่มิชชันนารีเข้ามาในสยาม นอกจากนั้นคณะเพรสไบทีเรียน ซึ่งเป็นสังกัดของหมอบรัดเลย์ ก็ยังเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เมื่อพ.ศ.2394<a title="" style="mso-endnote-id: edn8" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn8" name="_ednref8">[8]</a> อีกด้วย<br /><br /><strong>เป้าหมายที่เชียงใหม่</strong><br />ในช่วงพ.ศ.2406 ศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี(ลูกเขยหมอบรัดเลย์) และศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน(ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการจัดตั้งสถานีมิชชั่นในนครลำปาง) ได้เดินทางขึ้นมาสำรวจที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรก ในช่วงดังกล่าวราชสำนักเชียงใหม่ ในสมัยเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์(พ.ศ.2399-2413)<a title="" style="mso-endnote-id: edn9" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn9" name="_ednref9">[9]</a> เองก็ต้องการความรู้และเทคโนโลยีจากตะวันตกเข้ามาเช่นเดียวกัน จึงเห็นชอบให้ตั้งสถานีมิชชั่นขึ้นในเชียงใหม่ ขณะที่เมืองนครลำปางยังไม่เป็นที่สนใจของมิชชันนารี แม้ว่าจะมีการเดินทางสำรวจไปถึงเชียงรายและหลวงพระบางแล้วก็ตาม<a title="" style="mso-endnote-id: edn10" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn10" name="_ednref10">[10]</a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6qvRKv_ekH1vmLMIWYSbY4QhgixS_dDKYWr-5vYM23qhg4fgi7pEWDTlOLdah5TyBwSpQY4qS1U6h39u2fAs6_P4f9pBth2gGECrulT3HzGNWHmsIh21wj4I7HvXnOBRfXfnS1jhqTAM6/s1600-h/à¸à¸£à¹à¸¡à¸à¸à¸´à¸¥à¸§à¸²à¸£à¸µeditsmall.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014344484522710242" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6qvRKv_ekH1vmLMIWYSbY4QhgixS_dDKYWr-5vYM23qhg4fgi7pEWDTlOLdah5TyBwSpQY4qS1U6h39u2fAs6_P4f9pBth2gGECrulT3HzGNWHmsIh21wj4I7HvXnOBRfXfnS1jhqTAM6/s400/%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5editsmall.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">ศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี(ลูกเขยหมอบรัดเลย์)</span><br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวคริสต์ลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br /><strong>อ้างอิงจาก<br /></strong>เว็บไซต์<br />1. กรมศาสนา,ศาสนาคริสต์,ประวัติศาสนา,</span><a href="http://religion.m-culture.go.th/religion_christ/christ_1.asp"><span style="font-size:85%;">http://religion.m-culture.go.th/religion_christ/christ_1.asp</span></a><br /><span style="font-size:85%;">2. โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน, </span><a href="http://www.bcc.ac.th/web2005/index052.htm"><span style="font-size:85%;">http://www.bcc.ac.th/web2005/index052.htm</span></a><br /><span style="font-size:85%;">เอกสาร<br />1. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ.อยุธยา : Discovering Ayutthaya,มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ : กรุงเทพฯ,2546.<br />2. ธเนศวร์ อาภรณ์สุวรรณ.”หมอบรัดเลย์กับ American Orientalism ในสยาม” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 9 กรกฎาคม 2547.<br />3. ประสิทธิ์ พงศ์อุดม.”คริสต์ศาสนากับการมีส่วนร่วมในพัฒนาการทางสังคมของลำปาง : ศึกษาบทบาทมิชชันนารีอเมริกันระหว่าง ค.ศ.1880-1940(พ.ศ.2423-2483)” ใน ลำปางเมื่อห้วงหนึ่งศตวรรษ.จิตวัฒนาการพิมพ์ : ลำปาง,2544.<br />4. ไมเคิล ไรท์.ตะวันตกวิกฤต คริตส์ศาสนา ตีแผ่รากเหง้าชาวตะวันตก.มติชน : กรุงเทพฯ,2546.<br />5. สรัสวดี อ๋องสกุล.ประวัติศาสตร์ล้านนา,อมรินทร์ : กรุงเทพฯ,2544.<br />6. อุบลวรรณ มีชูธน.”หมอบรัดเลย์กับการประกาศศาสนาในสยาม” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 9 กรกฎาคม 2547.<br /><br /><strong>เชิงอรรถ</strong><br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> จากเว็บไซต์ กรมศาสนา ในหน้า ศาสนาคริสต์,ประวัติศาสนา, </span><a href="http://religion.m-culture.go.th/religion_christ/christ_1.asp"><span style="font-size:85%;">http://religion.m-culture.go.th/religion_christ/christ_1.asp</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> ไมเคิล ไรท์.ตะวันตกวิกฤต คริตส์ศาสนา ตีแผ่รากเหง้าชาวตะวันตก.มติชน : กรุงเทพฯ,2546,หน้า 60<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> ไมเคิล ไรท์,อ้างแล้ว หน้า 78<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> จากเว็บไซต์ กรมศาสนา ในหน้า ศาสนาคริสต์,นิกาย, </span><a href="http://religion.m-culture.go.th/religion_christ/christ_2.asp"><span style="font-size:85%;">http://religion.m-culture.go.th/religion_christ/christ_2.asp</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref5" name="_edn5"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> ชาญวิทย์ เกษตรศิริ.อยุธยา : Discovering Ayutthaya,มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ : กรุงเทพฯ,2546,หน้า 166.<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref6" name="_edn6"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> อุบลวรรณ มีชูธน.”หมอบรัดเลย์กับการประกาศศาสนาในสยาม” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 9 กรกฎาคม 2547,หน้า 87<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref7" name="_edn7"><span style="font-size:85%;">[7]</span></a><span style="font-size:85%;"> ธเนศวร์ อาภรณ์สุวรรณ.”หมอบรัดเลย์กับ American Orientalism ในสยาม” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 9 กรกฎาคม 2547,หน้า 96-98<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn8" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref8" name="_edn8"><span style="font-size:85%;">[8]</span></a><span style="font-size:85%;"> จากเว็บไซต์ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน, </span><a href="http://www.bcc.ac.th/web2005/index052.htm"><span style="font-size:85%;">http://www.bcc.ac.th/web2005/index052.htm</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn9" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref9" name="_edn9"><span style="font-size:85%;">[9]</span></a><span style="font-size:85%;"> สรัสวดี อ๋องสกุล.ประวัติศาสตร์ล้านนา,อมรินทร์ : กรุงเทพฯ,2544,หน้า 277<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn10" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref10" name="_edn10"><span style="font-size:85%;">[10]</span></a><span style="font-size:85%;"> ประสิทธิ์ พงศ์อุดม.”คริสต์ศาสนากับการมีส่วนร่วมในพัฒนาการทางสังคมของลำปาง : ศึกษาบทบาทมิชชันนารีอเมริกันระหว่าง ค.ศ.1880-1940(พ.ศ.2423-2483)” ใน ลำปางเมื่อห้วงหนึ่งศตวรรษ.จิตวัฒนาการพิมพ์ : ลำปาง,2544,หน้า 63-66</span></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-33663514390511485012006-12-09T23:42:00.000+07:002006-12-30T23:26:20.234+07:00ชาวพม่าในลำปาง (3)<div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjiNMBq2HAo1bdx9cwH9CtcCKUwyvJhsqzplznXqfrVZZ2LzG4XCqaP612S2UCf9q9rbSPIHh60E-UdVg7uQrjNSylT2GpFw3GK1Kn3Qvq-3oD-MWC2tIAupEqygBo1h4bbP_vVZgMLdiv/s1600-h/à¸à¸­à¸¡à¹à¸à¸¢à¹small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014356153948853698" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjiNMBq2HAo1bdx9cwH9CtcCKUwyvJhsqzplznXqfrVZZ2LzG4XCqaP612S2UCf9q9rbSPIHh60E-UdVg7uQrjNSylT2GpFw3GK1Kn3Qvq-3oD-MWC2tIAupEqygBo1h4bbP_vVZgMLdiv/s400/%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%8Csmall.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYeqe0AV3XZ8SQstykaH8ccKEvKklIvGEZAKfeGMlIptHVSBhCOiBs2ES-DNM3Vh41UgUbaQf1Jo-JzA53tVmW4GhPOKn3kOneR39bKSwjhZ8Xt60oAPhwxq3-aRaKYxW9MeWZYBRJ3V9E/s1600-h/à¸à¸­à¸¡à¹à¸à¸¢à¹small.jpg"></a><span style="font-size:85%;"><br />บ้านบอมเบย์ บริเวณตีนสะพานพัฒนาภาคเหนือ</span><br /><br /><br /><br /><div><strong>กลุ่มชนพม่า คือ ผู้คนหลากหลายที่มาจากเมืองพม่า<br /></strong>จากการกล่าวถึงการเข้ามาของกลุ่มชนพม่าเมื่อตอนที่แล้ว เราต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า กลุ่มชนพม่าที่ได้เข้ามาทำไม้นั้น ไม่ใช่มีแต่ชาติพันธุ์พม่า(หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า ม่าน)อย่างเดียว ยังรวมถึงไทใหญ่(ที่เราเรียกว่า เงี้ยว ปัจจุบันเลี่ยงไปใช้คำว่า ไทใหญ่ หรือไต แทน) มอญ ตองสู้ (แม้ว่าในการทำไม้จะมีแรงงานสำคัญคือ กลุ่มชาวกำมุ(หรือขมุ) ที่มาจากลาว จะไม่ขอกล่าวในที่นี้) แต่ที่ปรากฏบทบาทชัดเจน(เท่าที่มีหลักฐานในปัจจุบัน) ก็คือ ชาวพม่า และไทใหญ่ ซึ่งจะส่งผลต่อการปะทะสังสรรค์แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอย่างสำคัญ<br /><br /><strong>ระบบเงินรูปีจากพม่า</strong><br />บทบาทสำคัญของบริษัททำไม้ ที่เข้ามาทำมาหากินในลำปางมีอยู่ทั้งสิ้น 4 บริษัท ได้แก่<br /><strong>1. บริษัท บริติชบอร์เนียว จำกัด ( British Borneo Ltd. )<br />2. บริษัท บอมเบย์เบอร์มา จำกัด ( Bombay Burma Trading coporation )<br />3. บริษัท สยามฟอร์เรสต์ จำกัด ( Siam Forest )<br />4. บริษัท แอล.ที.เลียวโนเวนส์ จำกัด ( L.T.Leonowens Ltd. )</strong><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1"><strong>[</strong>1]</a><br />ซึ่งกลุ่มชนพม่าล้วนมีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างสูงมาก่อนชาวจีน ดังปรากฏได้จากการเป็นเจ้าของห้องแถวไม้สักริมแม่น้ำย่านกาดกองต้า(ตลาดจีน หรือถนนตลาดเก่าปัจจุบัน) กลุ่มชนพม่ายังนำเอาระบบเงินรูปีที่เป็นระบบเงินตราในประเทศอาณานิคม เช่น อินเดีย พม่า<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a><br /><br /><strong>คติการสร้างวัด<br /></strong>ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจและบทบาททางสังคมที่เพิ่มขึ้น(โดยเฉพาะการที่ได้เลื่อนสถานะจากหัวหน้างานมาเป็นผู้รับเหมาช่วงในการทำไม้ต่อจากนายฝรั่ง) จึงเกิดการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาด้วยการปฏิสังขรณ์วัดเดิมในท้องถิ่น ได้แก่ วัดศรีชุมที่สร้างจากวัดท้องถิ่นเดิม รวมไปถึงการบูรณะให้เป็นรูปแบบพม่า เช่น เจดีย์พระธาตุม่อนพระยาแช่ เป็นต้น และสร้างศาสนสถานใหม่ขึ้น เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นศูนย์กลางในการติดต่อสัมพันธ์ในกลุ่มของตน ซึ่งสร้างตามแบบแผนทางศิลปกรรมทั้งหมด โดยช่างชาวพม่า ไทใหญ่ ในการก่อสร้างแต่ละครั้งจะมีการขออนุญาตเจ้าเมืองลำปาง และบอกบุญไปยังเจ้านายบุตรหลานและคนพื้นเมืองด้วย<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkBcGgDN2TowWNKkkMuFiLqpIBk67cxBWPidjeQ77RkH53m_pkEGPlCxYIg-uKZCYpaZZNIlmi9lPzSjmL-yioDsWy0mJgOkk4Mbkj-wcwTuE9ScLdYDAYjN1Q1ITa_XQp3lCpKZtt2M57/s1600-h/วัà¸à¸¨à¸£à¸µà¸à¸¸à¸¡à¹à¸à¹à¹à¸bwsmall.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014356450301597138" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkBcGgDN2TowWNKkkMuFiLqpIBk67cxBWPidjeQ77RkH53m_pkEGPlCxYIg-uKZCYpaZZNIlmi9lPzSjmL-yioDsWy0mJgOkk4Mbkj-wcwTuE9ScLdYDAYjN1Q1ITa_XQp3lCpKZtt2M57/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%82bwsmall.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">วัดศรีชุม ศิลปสถาปัตยกรรมรูปแบบพม่า<br /></span><span style="font-size:78%;">[ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ]<br /></span><br />รูปแบบเมื่อดูกันเผินๆแล้วจะมีความต่างจาก วัดพื้นเมืองอย่างชัดเจน แต่ใครจะทราบว่าในรูปแบบที่ต่างนั้นยังพบอีก 2 รูปแบบย่อยคือ ศิลปกรรมรูปแบบพม่าและรูปแบบไทใหญ่ ที่ต่างกันคือ หลังคาวิหารในรูปแบบพม่าจะเป็นหลังคาแบบยอดปราสาท นักวิชาการทั่วไปเรียกกันว่า หลังคาทรงพระยาธาตุ(ชาญคณิต อาวรณ์ และอ.มงคล ถูกนึก เสนอให้เรียกว่า ปราสาท ตามลักษณะศิลปะและรูปคำ) เช่น วิหารวัดศรีชุม ขณะที่รูปแบบไทใหญ่คือ หลังคาวิหารซ้อนชั้น อย่างที่วัดศรีรองเมือง เป็นต้น<br /><br />จากการศึกษาของชาญคณิต อาวรณ์<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a> สามารถแบ่งกลุ่มชนพม่า ที่เป็นผู้ดูแลและอุปถัมภ์ศาสนสถานประจำกลุ่มชาติพันธุ์ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ดังนี้<br />1. กลุ่มชาติพันธุ์ ตองสู้ ได้แก่ วัดป่ารวก วัดม่อนปู่ยักษ์ สร้างราว พ.ศ.2442 โดยพ่อเฒ่านันตาน้อย พ่อเฒ่านันตาไก่<a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn5" name="_ednref5">[5]</a> วัดศรีรองเมือง สร้างราว พ.ศ.2447(เจ้าศรัทธาคือ จองตะก่าวารินต๊ะ แม่จองตะก่าจันทร์แก้ว จองตะก่าส่างโต แม่จองตะก่าจันทร์ฟอง)<br />2. กลุ่มชาติพันธุ์ พม่า ได้แก่ วัดป่าฝาง สร้างพ.ศ.2450(วัดประจำตระกูลสุวรรณอัตถ์) วัดจองคา วัดศรีชุม สร้างราว พ.ศ.2436(เจ้าศรัทธา คือ จองตะก่าอูโย พ่อเลี้ยงหม่องยี และแม่เลี้ยงป้อม ตระกูลบูรณ์) ยังแบ่งย่อยเป็น พม่า-มอญ คือ วัดท่ามะโอ<br />3. กลุ่มชาติพันธุ์ ไทใหญ่ ได้แก่ วัดจองคำ และวัดม่อนจำศีล<br />ยังรวมถึงตระกูลอื่นๆอีกเช่น มณีนันท์ รัตนคำมล เป็นต้น<br /><br /><strong>ป่าขาม ย่านวัดพม่า</strong><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn6" name="_ednref6"><strong>[6]</strong></a><br />เป็นที่น่าสนใจว่าเหตุใดบริเวณป่าขามจึงมีวัดพม่ากระจายอยู่มากที่สุด มีการเล่าว่า บริเวณรอบๆวัดม่อนปู่ยักษ์นี้ เดิมเป็นป่าไม้จะมีพืชล้มลุกจำนวนมาก ในฤดูแล้งจะมีพืชยืนต้นคือ ต้นมะขามเท่านั้น ด้วยความมีต้นมะขามจึงเรียกว่า ป่าขาม พ่อค้าในสมัยนั้นจึงพากันอพยพมาตั้งรกรากเป็นที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ป่าเป็นที่เลี้ยงช้าง ทั้งฝักมะขามกก็เป็นอาหารของช้าง เช่นเดียวกับมะขามเปียกใช้เป็นยากรักษาอาการป่วยของช้างได้ บริเวรณดังกล่าว มีถึง 4 วัด ได้แก่ วัดม่อนปู่ยักษ์(วัดม่อนสัณฐาน) วัดม่อนจำศีล วัดจองคำ และวัดร่มโพธิ์งาม(วัดป่าขาม) หรือไกลออกไปหน่อยคือ วัดพระบาท<br /></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbKVQoNacAUm3R6s7Prc0JphzeF_Pwg6PrunY-o-CQgLhFNPZJjmI2vUHjR2hw4E-52WyNIyIA4TTvyCozYS2DXFWuwwuSNA_s-wPjWjJvr2O-_J70VM5HzTwT74MFRecNgDFIlymnzD7b/s1600-h/วัà¸à¸¨à¸£à¸µà¸£à¸­à¸à¹à¸¡à¸·à¸­à¸bwsmall.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014356815373817314" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbKVQoNacAUm3R6s7Prc0JphzeF_Pwg6PrunY-o-CQgLhFNPZJjmI2vUHjR2hw4E-52WyNIyIA4TTvyCozYS2DXFWuwwuSNA_s-wPjWjJvr2O-_J70VM5HzTwT74MFRecNgDFIlymnzD7b/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87bwsmall.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:78%;">วัดศรีรองเมือง ศิลปสถาปัตยกรรมรูปแบบไทใหญ่<br />[ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ]<br /></span><br /><strong>วิถีชีวิตที่ถูกกลืนหาย</strong><br />แม้จะปรากฏบันทึก ตระกูลต่างๆที่สืบเนื่องมาในสมัยการค้าไม้รุ่งเรือง เช่น ตระกูลจันทรวิโรจน์, บริบูรณ์, มณีนันท์ ฯลฯ แต่วิถีชีวิต ความเป็นอยู่กลับถูกกลืนหายไปในนามคนลำปางไปแล้ว อาจปรากฏในรูปแบบอาหาร เช่น ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวกั้นจิ๊น(ข้าวเงี้ยว) จากไทใหญ่ น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล จากพม่า ที่ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ผ่านการคัดสรร-แลกเปลี่ยนมาแล้ว.<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />กิตติคุณ ศิริญานันท์,ชาวพม่าลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br /><strong>อ้างอิงจาก</strong><br />1. ชมัยโฉม สุนทรสวัสดิ์.การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับป่าไม้ในภาคเหนือของประเทศไทย วิทยานิพนธ์ มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2522.<br />2. ชาญคณิต อาวรณ์.ลวดลายประดับศาสนสถานแบบพม่าในเมืองลำปาง รายงานการศึกษา คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2546.<br />3. สุรชัย จงจิตงาม.การศึกษารูปแบบศิลปกรรมจิตรกรรมฝาผนัง วัดม่อนปู่ยักษ์ จ.ลำปาง รายงานการศึกษา ภาควิชาศิลปไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2540.<br /><br /><strong>เชิงอรรถ</strong><br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> ชาญคณิต อาวรณ์.ลวดลายประดับศาสนสถานแบบพม่าในเมืองลำปาง รายงานการศึกษา คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2546,หน้า 32 อ้างใน ชมัยโฉม สุนทรสวัสดิ์.การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับป่าไม้ในภาคเหนือของประเทศไทย วิทยานิพนธ์ มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2522,หน้า 7<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 37<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 32<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 40<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref5" name="_edn5"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> สุรชัย จงจิตงาม.การศึกษารูปแบบศิลปกรรมจิตรกรรมฝาผนัง วัดม่อนปู่ยักษ์ จ.ลำปาง รายงานการศึกษา ภาควิชาศิลปไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2540,หน้า 33<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref6" name="_edn6"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 35</span></div></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-88778761236781881132006-12-09T23:39:00.000+07:002007-01-01T11:57:46.968+07:00ชาวพม่าในลำปาง (2)<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhS3P42qEwMyVgmbTyelYgHADwIufxEgJu3YtpWYXKaYfwvx4Au4R3EZBEW_tgBJgJztnT7g5bXOHYSIOZA9X73scF_ctO_w3TJODw5rj6ZLiA228PwycV_p8VVl9l7nS7zDLh4WxooL0hr/s1600-h/à¸à¸¸à¸5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014354062299780482" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhS3P42qEwMyVgmbTyelYgHADwIufxEgJu3YtpWYXKaYfwvx4Au4R3EZBEW_tgBJgJztnT7g5bXOHYSIOZA9X73scF_ctO_w3TJODw5rj6ZLiA228PwycV_p8VVl9l7nS7zDLh4WxooL0hr/s400/%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%875.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">ภาพการทำป่าไม้ของชาวอังกฤษและยุโรปส่วนหนึ่ง ที่จ้างกลุ่มชนพม่าในการทำไม้อีกต่อหนึ่ง<br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณสุวภรณ์ ชูโต]</span><br /></span><br /><strong><br /><div><br />อังกฤษและผลประโยชน์การทำไม้สัก</strong><br />มีหลักฐานระบุว่าการเข้ามาชาวยุโรป โดยเฉพาะชาวอังกฤษแสดงบทบาทในฉากบ้ านเมืองล้านนา เมื่อราวพ.ศ.2372 ตอนที่เข้ามาซื้อช้าง วัว ควายจากหัวเมืองล้านนาจากราษฎร ในเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เนื่องจากเมืองพม่าประสบเหตุโรคระบาด<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a> ขณะที่สภาพสังคมช่วงดังกล่าว สยามประเทศถูกอำนาจจากชาติตะวันตกบีบคั้น จากอังกฤษทางทิศตะวันตก จากฝรั่งเศสทางทิศตะวันออก<br /><br />นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในบริบทดังกล่าวก็คือ การรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางของรัฐสยาม(โดยเฉพาะจากการที่รัชกาลที่5 ทรงศึกษาดูงานจากการบริหารประเทศในอาณานิคม ในการเสด็จประพาสอินเดีย ปีนัง ฯลฯ) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั่วภูมิภาคของอาณาเขตสยาม ที่เคยอยู่กับอย่างหลวมๆ<br /><br />อังกฤษเองนอกจากจะแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบการค้าจักรวรรดินิยมในพม่า ที่สามารถเข้าไปยึดครองได้แล้ว ยังแลเห็นความอุดมสมบูรณ์ของไม้สักในพื้นที่ทางเหนือของสยาม(เช่นเดียวกับรัฐบาลสยามเห็นความมั่งคั่งดังกล่าว)จึงกดดันให้สยามทำการเปิดป่า<br /><br />หากเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง “มหาลัยเหมืองแร่” จะเห็นได้ว่าหัวเมืองทางใต้ มีพ่อค้าเจ้าสัวที่ร่ำรวยมาจากทำเหมืองแร่ดีบุก(ที่ต่อเนื่องยาวนานมาจนหลังสงครามโลก) ทางหัวเมืองทางเหนือก็เติบโตมาพร้อมๆกับทรัพยากรธรรมชาติในนามป่าไม้สักเช่นกัน เดิมนั้นการค้าป่าไม้เป็นกิจการที่เจ้าผู้ครองนครเมืองต่างๆเป็นเจ้าของ<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a> อังกฤษจึงเข้ามาในรูปแบบของบริษัท ที่ใช้แรงงานจากประเทศอาณานิคม ในระยะต่อมาเมื่อพื้นที่สัมปทานกว้างขวางขึ้น เจ้านายได้ทำสัญญาซ้ำซ้อนกับผู้สัมปทานมากกว่ารายเดียว จึงต้องทำการสังคายนาใหม่ โดยรัฐบาลสยาม<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a>(การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเหตุหนึ่งให้เกิดกบฏเงี้ยว?)<br /><br />การดำเนินกิจการดังกล่าวจำเป็นต้องมีระบบ วิธีการและเทคโนโลยีการจัดการที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง จึงต้องมีนำเข้า(อิมปอร์ต) องค์ความรู้ในการทำป่าไม้ ซึ่งชาวอังกฤษเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในพม่าอยู่แล้ว รัฐสยามจึงยืมตัว และว่าจ้าง นาย เอช. สเลด เข้ามาจัดระบบดังกล่าว เมื่อพ.ศ.2439 จนได้เป็นถึงเจ้ากรมป่าไม้ ขณะที่กลุ่มชนพม่า(นับรวมทั้งพม่า มอญ ไทใหญ่ ตองสู้ด้วย) มีความชำนาญในการร่วมทำกิจการป่าไม้มาแล้ว ก็ได้รับการติดต่อจาก นาย เอช. เสลด เข้ามาประกอบอาชีพการทำป่าไม้ในสยาม<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGbwBpwZ6zvWqsNnogF83cSfQvmWIj95gj7HuJZw5o0DnzQge61ErCVgJS6UgwNsLGw-cAWP3KCclpVmm1JB17_4ccgZhkvHGUe-bvYm7fWrY1poNvZIs_n8NoMgPz1SHciGU_CBVijRJU/s1600-h/à¸à¹à¸²à¸à¹à¸ªà¸²à¸à¸±à¸bw.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014354350062589330" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGbwBpwZ6zvWqsNnogF83cSfQvmWIj95gj7HuJZw5o0DnzQge61ErCVgJS6UgwNsLGw-cAWP3KCclpVmm1JB17_4ccgZhkvHGUe-bvYm7fWrY1poNvZIs_n8NoMgPz1SHciGU_CBVijRJU/s400/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81bw.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;"><br />บ้านเสานัก ต้นตระกูลจันทรวิโรจน์<br /></span><br /><strong>การเข้ามาของกลุ่มชนพม่าในลำปาง</strong><br />มีการระบุไว้ว่าว่า ชาวพม่าได้เข้ามาสู่ลำปางได้สองเส้นทางดังนี้ เส้นทางแรก คือ โดยสารรถไฟจากเมืองมัณฑะเลย์ลงไปทางเมืองร่างกุ้ง ใช้เส้นทางรถยนต์มาถึงเมืองมะละแหม่ง (ซึ่ง อ.วิถี พานิชพันธ์ ได้กรุณาให้ความเห็นไว้ว่า เมืองมะละแหม่ง กับ กาดกองต้าบ้านเรา มีบรรยากาศ กลิ่นไอ คล้ายๆกัน โดยเฉพาะในรูปแบบของตึกแถว เชิงช่างฝีมือต่างๆที่ปรากฏ) จากมะละแหม่งแล้วข้ามแม่น้ำเมย อำเภอแม่สอด และจากตากก็มาถึงเมือลำปาง เส้นทางที่สอง คือ จากเมืองมัณฑะเลย์ ข้ามแม่น้ำสาละวินเข้าสู่แม่ฮ่องสอน และเดินทางมายังเมืองลำปาง<a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn5" name="_ednref5">[5]</a><br /><br />บริเวณที่ทำการป่าไม้เขต-สำนักงานองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จังหวัดลำปาง เดิมเป็นย่านที่ตั้งของบริษัททำไม้ คือ บริษัทหลุยส์ ที.เลียวโนเวนส์(ลูกชายแหม่มแอนนา เลียวโนเวนส์ เจ้าของบทประพันธ์ผู้อื้อฉาว) ทั้งยังใกล้กับที่ตั้งของกงสุลอังกฤษประจำนครลำปาง(ปัจจุบันคือ กองบังคับบัญชาการตำรวจ จ.ลำปาง)<br /><br />ฉะนั้นการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชนพม่าส่วนหนึ่งจึงมีหลักแหล่งอยู่บริเวณนี้ โดยเฉพาะย่านท่ามะโอ ท่านางลอย มีการกล่าวว่า พื้นที่ติดแม่น้ำวังเหล่านี้เพื่อความสะดวกในการชักลากไม้ที่ตัดจากป่าในเขตบ้านแม่แจ้ฟ้า บ้านแจ้ห่ม บ้านเมืองวัง ซึ่งอยู่ในเขต อ.แจ้ห่ม ปัจจุบัน และจะถูกชักลากลงแม่น้ำวังแล้วปล่อยให้ไหลมาจนถึงบริเวณนี้ ก็จะทำการชักลากข้นฝั่งบริเวณด้านหลังวัดพระแก้วดอนเต้า<a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn6" name="_ednref6">[6]</a> ดังปรากฏรูปแบบลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบลูกครึ่ง ผสมตะวันตกและพื้นถิ่น หรือแม้กระทั่งบ้านเสานัก ของตระกูลจันทรวิโรจน์ ที่มีลักษณะเป็นเรือนพื้นถิ่นแต่มีองค์ประกอบแบบพม่าบางส่วนผสมผสาน<br /><br />ด้วยข้อได้เปรียบของกลุ่มชนพม่าที่มีความมั่งคั่งมาจากกิจการทำไม้ ไม่ต้องเสียภาษี(เนื่องจากเป็นบุคคลในบังคับของอังกฤษ)ได้รับเงินเดือนมากกว่าคนไทย เพราะคิดอัตราค่าจ้างตามเงินอังกฤษ<a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn7" name="_ednref7">[7]</a> จึงสามารถสะสมทุนได้จำนวนมาก จนนำทุนดังกล่าวมาลงทุนตั้งถิ่นฐานบริเวณกาดกองต้าเพื่อทำการค้าขาย ดังปรากฏการสร้างอาคารหลายหลังในศิลปะรูปแบบพม่า-อิทธิพลตะวันตก เช่น อาคารหม่องหง่วยสิ่น อาคารกาญจนวงศ์ ฯลฯ<br /></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQ-0VwmSaSTuanE-HoIVcE9YQac4B3-3ioH6jhz94DKJIrMMXmkllsbSFct4s7MjkaVwjPlTIhRD5amzFqsPE_FYJcyc3qfkscegokYU7omd5Qx3kcTIheg9R2mlBYR2lmdGzpgCBH809o/s1600-h/วัà¸à¸à¹à¸²à¸¡à¸°à¹à¸­.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014355084501996962" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQ-0VwmSaSTuanE-HoIVcE9YQac4B3-3ioH6jhz94DKJIrMMXmkllsbSFct4s7MjkaVwjPlTIhRD5amzFqsPE_FYJcyc3qfkscegokYU7omd5Qx3kcTIheg9R2mlBYR2lmdGzpgCBH809o/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%AD.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">วัดท่ามะโอ</span><br /><br />ขณะที่ศาสนสถาน คือ วัดของกลุ่มชนพม่ากลับปรากฏในบริเวณดังกล่าวเพียงวัดเดียวคือ วัดท่ามะโอ และอีกส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณบ้านป่าขาม ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำวัง เหตุไฉนถึงตั้งวัดอยู่บริเวณป่าขามเป็นจำนวนมากจึงเป็นประเด็นข้อสงสัยที่น่าติดตามค้นคว้ายิ่ง.<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />กิตติคุณ ศิริญานันท์,ชาวพม่าลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br />อ้างอิงจาก<br />1. สรัสวดี อ๋องสกุล.ประวัติศาสตร์ล้านนา.กรุงเทพฯ : อมรินทร์,2544.<br />2. ชัยวัฒน์ ศุกดิลกลักษณ์.พ่อค้ากับการพัฒนาการเศรษฐกิจ : ลำปาง พ.ศ.2459-2512 ภาคนิพนธ์ รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2541.<br />3. ชาญคณิต อาวรณ์, แบบแผนทางสถาปัตยกรรมและงานศิลปกรรมเจดีย์ทรงพม่าเมืองลำปาง รายงานการศึกษา ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2546.<br />4. พูนพร พูลทาจักร,การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมณฑลพายัพหลังการตัดรถไฟสายเหนือ พ.ศ.2464-2484 วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร,2530.<br />5. สงบ ฉิมพลีย์.อิทธิพลศิลปพม่าที่มีต่อโบราณสถาน ในจังหวัดลำปาง ในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร,2529.<br /><br /><strong>เชิงอรรถ<br /></strong></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> สรัสวดี อ๋องสกุล.ประวัติศาสตร์ล้านนา.กรุงเทพฯ : อมรินทร์,2544,หน้า 332<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> ชัยวัฒน์ ศุกดิลกลักษณ์.พ่อค้ากับการพัฒนาการเศรษฐกิจ : ลำปาง พ.ศ.2459-2512 ภาคนิพนธ์ รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2541,หน้า 28<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> ชาญคณิต อาวรณ์, แบบแผนทางสถาปัตยกรรมและงานศิลปกรรมเจดีย์ทรงพม่าเมืองลำปาง รายงานการศึกษา ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2546,หน้า 31 อ้างใน พูนพร พูลทาจักร,การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมณฑลพายัพหลังการตัดรถไฟสายเหนือ พ.ศ.2464-2484 วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร,2530,หน้า 30<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> สงบ ฉิมพลีย์.อิทธิพลศิลปพม่าที่มีต่อโบราณสถาน ในจังหวัดลำปาง ในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร,2529,หน้า 133<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref5" name="_edn5"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> อ้างแล้ว หน้า 135<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref6" name="_edn6"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> ชาญคณิตอาวรณ์.อ้างแล้ว,หน้า 30<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref7" name="_edn7"><span style="font-size:85%;">[7]</span></a><span style="font-size:85%;"> สงบ ฉิมพลีย์,อ้างแล้ว หน้า 133</span></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-35298123269612357182006-12-09T23:37:00.000+07:002007-01-01T11:58:46.985+07:00ชาวพม่าในลำปาง (1)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQGAUPSCriJ2SfYs7hndRruZ-vsG8gCnFDEMVU5uWc8uA0jP4xeQarD2wryd7q6aP-TAYv9xhhG8pCiOWotyO1nXHHEObttfTCxN4h4hnk20vQDQsErquj4YmHZIgvv-71f01sZiRgR1Wt/s1600-h/à¸à¸²à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸à¸¸à¹à¸à¸µà¹à¸«à¸¥à¸²à¸à¸«à¸¥à¸²à¸¢small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014351588398617938" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQGAUPSCriJ2SfYs7hndRruZ-vsG8gCnFDEMVU5uWc8uA0jP4xeQarD2wryd7q6aP-TAYv9xhhG8pCiOWotyO1nXHHEObttfTCxN4h4hnk20vQDQsErquj4YmHZIgvv-71f01sZiRgR1Wt/s400/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2small.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><div><div><span style="font-size:85%;">ภาพแสดงความหลากหลายชาติพันธุ์ในพม่า</span><br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : ธิดา สาระยา. มัณฑะเล : นครราชธานี ศูนย์กลางแห่งจักรวาล, กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2538, หน้า 66]</span></div><br /><div><strong>รู้จักพม่ากันก่อน</strong><br />พม่านับเป็นดินแดนที่มีพัฒนาการและความสืบเนื่องกันมายาวนานนับหลายพันปี เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลกอีกแห่งหนึ่ง หากเราจะลด ละวางอคติที่มีกับดินแดนนี้(ที่กระทรวงศึกษาธิการพร่ำสอนว่าความย่อยยับอัปราของไทย ล้วนเนื่องมาแต่พม่าทั้งสิ้น)ไว้เสียก่อน แล้วมาทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านที่น่าเคารพผู้นี้กัน<br /><br />การเป็นบ้านเมืองของพม่าก็เฉกเช่นเดียวกันกับบ้านเมืองอื่นๆที่ไม่ได้ลอยลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า หากแต่มีเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ อันได้แก่ การเมือง-เศรษฐกิจ-ศาสนา ความเชื่อ เป็นอาทิ ประวัติศาสตร์ของพม่าตั้งต้นมาแต่ 128ปี ก่อนคริสตกาล(ประมาณพ.ศ.415) ในนามอาณาจักรตะโก้ง ของพวก ปยุ(ชนเผ่าทิเบต-พม่า)<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a><br /><br />ด้วยความที่สภาพภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย รวมถึงผู้คนและชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนทำให้ บ้านเมืองของพม่าเติบโตขึ้นมา และร่ำรวยทางศิลปวัฒนธรรม ระบบความเชื่อเช่นนั้นๆ เช่นว่า ในบางสมัย ชาวไทใหญ่(หรือเงี้ยว)สามารถสถาปนาขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอำนาจการเมืองการปกครอง และศิลปกรรมหลายอย่างของพม่าก็รับเอาแบบอย่างจากไทใหญ่ไป เป็นต้น<br /><br />พม่าผ่านความขัดแย้งอันหลากหลายทั้งภายในและนอก นับนิ้วถึงช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พม่าถูกกระทำทั้งจากอาณานิคมอังกฤษ จักรวรรดินิยมญี่ปุ่น จนกระทั่งถึงคิวของรัฐบาลทหารเผด็จการ<br /><br /><strong>ความสัมพันธ์พม่าและล้านนาประเทศ<br /></strong>คราใดที่พม่าเติบโตขึ้น จนสามารถรวบรวมหัวเมืองในดินแดนใกล้เคียงให้อยู่ในอำนาจ เมื่อนั้นรัฐบาลกลางในนามของกษัตริย์พม่าก็ทำการยาตราทัพเพื่อทำสงครามชิงบ้านเมืองเพื่อแสดงความเป็นจักรพรรดิราช(ขณะที่ไพร่ ชาวบ้านก็ถูกเกณฑ์ ถูกกวาดต้อนสนองตามนโยบายรัฐบาลเท่านั้น) ปรากฏการแผ่อำนาจลงมาทางใต้ ดังปรากฏการศึกกับกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งหลายครา ในที่สุดก็เสียกรุง ในพ.ศ.2112 และ พ.ศ.2310 แน่นอนว่าดินแดนล้านนาเป็นรัฐที่อยู่ระหว่าง 2 มหาอำนาจ ฉะนั้นจึงไม่รอดพ้นจากการศึกสงคราม ทั้งหลาย บางคราอยู่ฝ่ายพม่า บางคราอยู่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยา<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPOgfLaorb3j1NZvklRYHGUaKJmJHqQ5TNPucdwN3-XOi09nUXit2o2sl8Yq6qYXx_XSdfqDJd6iUJ1mkWCsy2N9Hw9xDfyzFrGx3guKVIXc9ac52_Rry1egFNo1PP6SY3Xjx3u9-rv5HC/s1600-h/à¹à¸à¸à¸à¸±à¸à¸à¸±à¸à¸£à¸§à¸²à¸¥à¹à¸¥à¸°à¸§à¸±à¸à¸¥à¹à¸²à¸à¸à¸².jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014351858981557602" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPOgfLaorb3j1NZvklRYHGUaKJmJHqQ5TNPucdwN3-XOi09nUXit2o2sl8Yq6qYXx_XSdfqDJd6iUJ1mkWCsy2N9Hw9xDfyzFrGx3guKVIXc9ac52_Rry1egFNo1PP6SY3Xjx3u9-rv5HC/s400/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">แผนผังพระธาตุประจำปีเกิดทั่วล้านนาและดินแดนใกล้เคียง<br /></span><br />กระนั้นหากมองเลยพรมแดนของชาติในปัจจุบันจะเห็นว่า ในดินแดนล้านนา-พม่านี้ มีผู้คนหลากหลายมากมาย เช่น ไทใหญ่, ไทเขิน, ไทลื้อ, พม่า, มอญ, ตองสู้,ฯลฯ ซึ่งบ้างก็เป็นเครือญาติ เครือข่ายทางวัฒนธรรมต่อกัน ดังสะท้อนให้เห็นจากการบูชาพระธาตุประจำปีเกิด ที่มีพระธาตุในล้านนาเป็นหลัก แต่ก็เชื่อมโยงไปถึง ชเวดากอง ในพม่า หรือแม้แต่ในตำนานที่เล่าถึงบทบาทพระครูบามหาป่า วัดไหล่หินหลวง ที่ได้ธุดงค์ไปถึงเชียงตุง<br /><br />หรือมิเช่นนั้นก็เป็นเครือข่ายทางการค้าขาย ดังปรากฏเส้นทางการค้าทางบก ระหว่างดินแดนล้านนาและพม่า คือ 1) จากเมืองตาลี มณฑลยูนนาน ผ่านเมืองเชียงตุง เข้าสู่เชียงราย ผ่านแม่สรวย ถึงเมืองเชียงใหม่ 2) จากเมืองตาลี มณฑลยูนนาน ผ่านเมืองเชียงตุง เข้าสู่เชียงราย เมืองพะเยา เมืองแพร่ เลยไปถึงอุตรดิตถ์ 3) จากเมืองตาลี มณฑลยูนนาน ผ่านเมืองเชียงตุง เข้าสู่ล้านนา ผ่านแม่สอด หรือท่าสองยาง สู่ดินแดนพม่าตอนใต้ ถึงเมืองเมาะละแหม่ง<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a><br /><br />อย่างไรก็ตาม พม่าในลำปางนั้นเคลื่อนย้ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองลำปาง และกลายเป็นชาวลำปาง นับย้อนได้เพียงร้อยปี และในเงื่อนไขอื่นด้วย<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOhTCu9y-4YACT1ZOkGtsR1KbBmKtQEYGc7aEkfxY54mzVM83YGzFpQVYm8NMz1h8U_sgQ3YneO-LqtbCh69aYNYNLCZe9efQeYMRCFtQje7sdVzDYJ2lLzT5Awuo-TPSG68VQXH4RRkMY/s1600-h/Mapbw.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014352455982011762" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOhTCu9y-4YACT1ZOkGtsR1KbBmKtQEYGc7aEkfxY54mzVM83YGzFpQVYm8NMz1h8U_sgQ3YneO-LqtbCh69aYNYNLCZe9efQeYMRCFtQje7sdVzDYJ2lLzT5Awuo-TPSG68VQXH4RRkMY/s400/Mapbw.jpg" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:85%;">แผนที่พม่า ชายแดนอินเดีย และไทย<br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : โชติมา จตุรวงค์.”ไม้สักและสถาปัตยกรรมเจาง์ของพม่า : ภาพสะท้อนการเมืองในสมัยพระเจ้ามินดงและพระเจ้าธีบอ” ใน วารสาร หน้าจั่ว ฉบับ ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย มกราคม 2547, หน้า 21]</span><br /></span><br /><strong>การเสียเอกราชให้แก่อาณานิคมอังกฤษ<br /></strong>ด้วยเหตุทางการเมือง ที่แยกไม่ออกจากเศรษฐกิจ ดังเห็นได้จาก อังกฤษพยายามหาเส้นทางการค้าทางบกระหว่างดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน(แข่งกันกับฝรั่งเศสที่ยึดดินแดน ลาว เขมร เวียดนาม ไปแล้ว)<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a> ภาวะดังกล่าวทำให้พม่าต้องถอยร่น ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์<br /><br />บริษัทบอมเบย์เบอร์ม่า อันเป็นของอังกฤษก็ได้มีบทบาทสำคัญ ในการทำไม้สัก(ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทในเมืองลำปางด้วยเช่นกัน) ซึ่งอังกฤษได้สร้างเมืองมะละแหม่ง(ต่อมาสร้างเมืองย่างกุ้งเพิ่มเติม)เพื่อเป็นศูนย์กลางของอังกฤษ เมืองมะละแหม่งได้รับการวางให้เป็นเมืองศูนย์กลางการต่อเรือและการเชื่อมโยงการค้ากับภายนอก<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a><br /><br />แต่อย่างไรก็ตาม ชาวพม่าในขณะนั้นถือว่า เป็นเพียงพลเมืองชั้นสาม ที่มีฐานะต่ำกว่าชาวอังกฤษ และชาวอินเดีย ที่ชาวอังกฤษส่งประเทศในอาณานิคมมาปกครองกันเองอีกทีหนึ่ง<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />กิตติคุณ ศิริญานันท์,ชาวพม่าลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br />อ้างอิงจาก<br />1. โชติมา จตุรวงค์.”ไม้สักและสถาปัตยกรรมเจาง์ของพม่า : ภาพสะท้อนการเมืองในสมัยพระเจ้ามินดงและพระเจ้าธีบอ” ใน วารสาร หน้าจั่ว ฉบับ ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย มกราคม 2547.<br />2. ปริเชต ศุขปราการ.”ลำปาง จากหัวเมืองประเทศราชสู่จังหวัดในภาคเหนือ” ใน วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2544.<br />3. หม่องทินอ่อง.ประวัติศาสตร์พม่า.กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2548.<br /><br />เชิงอรรถ<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> หม่องทินอ่อง.ประวัติศาสตร์พม่า.กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2548,หน้า 6<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> ปริเชต ศุขปราการ.”ลำปาง จากหัวเมืองประเทศราชสู่จังหวัดในภาคเหนือ” ใน วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2544,หน้า 74<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> โชติมา จตุรวงค์.”ไม้สักและสถาปัตยกรรมเจาง์ของพม่า : ภาพสะท้อนการเมืองในสมัยพระเจ้ามินดงและพระเจ้าธีบอ” ใน วารสาร หน้าจั่ว ฉบับ ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย มกราคม 2547,หน้า 38<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> โชติมา จตุรวงค์,อ้างแล้ว </span></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-8782613382618166322006-12-09T23:34:00.000+07:002007-01-01T11:19:17.566+07:00ชาวอินเดียในลำปาง (2)<div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLLiY65G90fuEUN7XibcL1jIjp0SCPtWjlk_FCmf1O2nmWAt24ZqLVaG7CaC0cEdoQ7bRa7gb2yeJT2datMaSTNoQmiK2sO6MlFcdWXs4S8lcYajKiN83QKwTQk-R1T1XHCpq4khDMLl3A/s1600-h/à¹à¸à¸§à¸ªà¸à¸²à¸à¸®à¸´à¸à¸à¸¹.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014910702946244466" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLLiY65G90fuEUN7XibcL1jIjp0SCPtWjlk_FCmf1O2nmWAt24ZqLVaG7CaC0cEdoQ7bRa7gb2yeJT2datMaSTNoQmiK2sO6MlFcdWXs4S8lcYajKiN83QKwTQk-R1T1XHCpq4khDMLl3A/s400/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><br /><br /><div>เทวสถานพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ถ.จามเทวี ใกล้สวนอิ่มใจ<br /><br /><strong>ชาวอินเดียฮินดู<br /></strong>เดิมชาวฮินดูอินเดียยุคแรกอยู่บริเวณตลาดราชวงศ์(บริเวณร้านธีระสุข) ในช่วงหลัง ราวพ.ศ.2491 คุณโมฮัน โซนี่เดินทางจากอินเดียโดยเครื่องบิน มาถึงลำปางและมาอาศัยอยู่กับญาติบริเวณตลาดราชวงศ์นั่นเอง<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a> อย่างไรก็ตามชาวอินเดียฮินดูมิได้แสดงอัตลักษณ์ที่เด่นชัดเท่าใด เมื่อเทียบกับชาวอินเดียซิกข์ แม้จะมีศาสนสถานของชาวฮินดู คือ เทวสถ านพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี แต่ก็เป็นการริเริ่มสร้างโดย คนไทยที่นับถือฮินดู ที่สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2534 บริเวณสวนอิ่มใจ ถ.จามเทวี ภายในประดิษฐานเทพเจ้าต่างๆ เช่น พระศิวะ เจ้าแม่อุมาเทวี เจ้าแม่ลักษณมีเทวี หนุมาน และพระพิฆเนศ แต่ในที่สุดการจัดการดูแลก็ตกมาเป็นของชาว<br />อินเดียฮินดูในลำปาง<br /><br />อย่างไรก็ตาม แม้จะต่างศาสนากัน ชาวซิกข์และฮินดูก็มักจะมีกิจกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะในทุกวันอาทิตย์ จะมีการพบปะกันที่วัดซิกข์ลำปาง<br /><br /><strong>บทบาททางเศรษฐกิจ และตัวอย่างกิจการ</strong><br />เมื่อท่านได้มีโอกาสผ่านไปบริเวณถ.ทิพย์ช้าง อ.เมือง จ.ลำปาง จะรู้สึกได้ว่าย่านดังกล่าวจะเต็มไปด้วยร้านขายผ้า ส่วนใหญ่แล้วเป็นกิจการของชาวอินเดียที่มีความถนัดในทางนี้ทั้งสิ้น แต่กระนั้นการสะสมทุนจากการค้าขายดังกล่าว นำไปสู่การลงทุนในกิจการอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม หอพัก ฯลฯ ต่อไปนี้จะเป็นการจำแนกให้เห็นตัวอย่างกิจการชาวอินเดียลำปางตามเครือญาติ ได้ดังนี้<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrt2BMbdrdaO2XATGuYy-GQmWTWHJ-EtBwH-duEJMsKEbT8hcPmkvzeUTw1KQ0jNrDLvC_HVlBjcH3UATrT8xJDZNeIHgrqVj0m7B-0ORxEizdvWkqDsJ9JjkpusggFkxtOMKZ7pUP6hUz/s1600-h/รà¹à¸²à¸à¸§à¸±à¸à¸à¸±à¸¢à¹à¸à¹à¸².jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014911192572516226" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrt2BMbdrdaO2XATGuYy-GQmWTWHJ-EtBwH-duEJMsKEbT8hcPmkvzeUTw1KQ0jNrDLvC_HVlBjcH3UATrT8xJDZNeIHgrqVj0m7B-0ORxEizdvWkqDsJ9JjkpusggFkxtOMKZ7pUP6hUz/s400/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg" border="0" /></a><br />ย่านร้านขายผ้า ถนนทิพย์ช้าง<br /><br /><strong>เครือญาติทางอินเดียซิกข์</strong><br />มาจากสายตระกูลจาวะลา ได้แก่ ร้านยากัตซิงห์ ร้านมงคล ร้านใจกว้าง โรงแรมเอ็ม อาร์ พาเลซ<br /><br /><strong>เครือญาติทางอินเดียฮินดู</strong><br />มาจากสายตระกูลโซนี่ ได้แก่ ร้านวันชัย ร้านรัศมี ร้านนินช็อป ร้านลำปางใจดี ร้านอมร ร้านโซนี่ ร้านกระดุม ร้านเดอะเบสท์ คลินิกหมอราวิน คลินิกหมอรายิน<br /><br /><strong>เครือญาติทางอินเดียลำปางอื่นๆ<br /></strong>มาจากสายตระกูลสินธุเขียว ได้แก่ ร้านจันทร์เจริญ ร้านโชคเจริญ ร้านแพรทอง<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgujNXN-APudvwuOnXYSWAP-dxty81mG94WOUC4_OSgcPS2eENCZ5OlsUwhd6uIRpo1-ZvnXTRwldE1sILpjZeG-bmOlLSfVLR73Q9nySp1z8URPxzAqwlzQRMz_Wu-Lq5vZIEd6d2p0wcT/s1600-h/ฮิà¸à¸à¸¹à¸à¸´à¸à¸à¹.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014911497515194258" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgujNXN-APudvwuOnXYSWAP-dxty81mG94WOUC4_OSgcPS2eENCZ5OlsUwhd6uIRpo1-ZvnXTRwldE1sILpjZeG-bmOlLSfVLR73Q9nySp1z8URPxzAqwlzQRMz_Wu-Lq5vZIEd6d2p0wcT/s400/%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C.jpg" border="0" /></a><br />ภาพชาวอินเดียลำปางทั้งซิกข์และฮินดูมีกิจกรรมร่วมกัน<br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณโมฮัน โซนี่และครอบครัว]</span><br /><br /><strong>บทบาททางศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตประเพณี<br /></strong>ส่วนใหญ่บทบาททางนี้ไม่เด่นชัดเท่าใดนัก อาจจะมีความผูกพันและความทรงจำเดิมจากประเทศแม่ ซึ่งกลุ่มคนในรุ่นหลังพอจะจำได้ดังนี้<br />อินเดียซิกข์ลำปาง<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a><br />วันสำคัญต่างๆ มีดังนี้<br />1) วันคล้ายวันประสูติและสิ้นชีพของพระศาสดาทั้ง 10 พระองค์<br />2) วันคล้ายวันสถาปนาพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบ<br />3) วันคล้ายวันสถาปนาของ คาลซา โดยพระศาสดาคุรุโควินทร์สิงห์ ซึ่งโดยทั่วไปจะตรงกับวันที่ 13 หรือ 14 เมษายนของทุกปี (วันวิสาฆี)<br />4) วันคล้ายวันพลีชีพของเหล่าวีรชนชาวซิกข์ ผู้ซึ่งสละชีพเพื่อป้องกันศาสนาและผู้ถูกกดขี่ ตรงกับวันที่ 14 มกราคม(มาห์กี Maghi)<br /><br />อินเดียฮินดูลำปาง<br />วันสำคัญต่างๆมีดังนี้<br />1) วันเนาวราตรี ปีละ 2 ครั้ง (ตรงกับเทศกาลกินเจของจีน) ช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่กินเนื้อสัตว์ หอม กระเทียม<br />2) วันเกิดพระศิวะ พระกฤษณะ<br />3) วันดิวาลี เป็นวันที่พระรามเสด็จกลับกรุงอโยธยา เหมือนลอยกระทง มีการเล่นดอกไม้ไฟ<br />4) วันดีแชร่า<br /><br /></div><div><div><div><div><div><div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjm5WdkDtY2pdtSrCZysm91ag4_th4G2STYjjNwQ9V-FD4Ym59E042dspv3Ifa1AhXmcktnVBktnafuYUW6qRf_X0GYReglBAlx6wK7twQkaTyTrW2XdgVlukxQB1qfhSB8PIwU3Pvg2JFA/s1600-h/ลูà¸à¹à¸£à¹à¸²à¸à¸§à¸±à¸à¸à¸±à¸¢.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014911643544082338" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjm5WdkDtY2pdtSrCZysm91ag4_th4G2STYjjNwQ9V-FD4Ym59E042dspv3Ifa1AhXmcktnVBktnafuYUW6qRf_X0GYReglBAlx6wK7twQkaTyTrW2XdgVlukxQB1qfhSB8PIwU3Pvg2JFA/s400/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2.jpg" border="0" /></a><br /><div>ภาพเด็กๆ ชาวอินเดียลำปาง<br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณโมฮัน โซนี่และครอบครัว] </span><br /><br />*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวอินเดียลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br /><strong>อ้างอิงจาก</strong><br />สัมภาษณ์คุณโมฮัน โซนี่ ร้านวันชัย ถ.ทิพย์ช้าง 12 พฤษภาคม 2548<br />สัมภาษณ์คุณสันติ จาวะลา ร้านยากัตซิงห์ ถ.ทิพย์ช้าง 12 พฤษภาคม 2548<br /><br /><strong>เชิงอรรถ</strong><br /><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1">[1]</a> สัมภาษณ์คุณโมฮัน โซนี่ ร้านวันชัย ถ.ทิพย์ช้าง 12 พฤษภาคม 2548<br /><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2">[2]</a> อ้างแล้ว<br /><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3">[3]</a> สัมภาษณ์คุณสันติ จาวะลา ร้านยากัตซิงห์ ถ.ทิพย์ช้าง 12 พฤษภาคม 2548</div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-82420961166483074102006-12-09T23:29:00.000+07:002007-01-01T11:11:06.365+07:00ชาวอินเดียในลำปาง (1)<div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixE78VI8u1oHnJV3HmRDspvmlSjqEX9gx68DmNwvU5gAp3g-RLbVglYezzys4M8aO6Vck9s6LgXqwDnI3uM15GJj3tTScp_KglC7d_u6sxqdshlXRlEiB8yVnYRbICBpd44xV1_amZED-Y/s1600-h/วัà¸à¸à¸´à¸à¸à¹à¸¥à¸³à¸à¸²à¸à¹à¸«à¸¡à¹.jpg"></a><br /><br /><br /><div><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbxb6r7x9hbL-pFsK9dJrDiTYA0jCUK0PIb1hoSGM379MqLBnlaVMfTSRd9bVcBAM_528TevinH3jRzc_6pRZ7jzNt0WcowyTUPXo9Md_cEN-r9BRdlo6sH7B1fM4o95tE2Duz6VyofXa2/s1600-h/à¹à¸à¸à¸à¸µà¹à¸­à¸´à¸à¹à¸à¸µà¸¢.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014907400116393730" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbxb6r7x9hbL-pFsK9dJrDiTYA0jCUK0PIb1hoSGM379MqLBnlaVMfTSRd9bVcBAM_528TevinH3jRzc_6pRZ7jzNt0WcowyTUPXo9Md_cEN-r9BRdlo6sH7B1fM4o95tE2Duz6VyofXa2/s400/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2.jpg" border="0" /></a><br /><div><div><span style="font-size:85%;">แผนที่ประเทศอินเดีย<br /></span><span style="font-size:78%;"><br /></span><br />เมื่อเทียบสัดส่วนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆในลำปางแล้ว ชาวอินเดียอาจนับได้ว่า มีจำนวนน้อยที่สุด แต่กลับมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างสูง<br /><br />แม้จากการสัมภาษณ์จะไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่า คนอินเดียเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานในลำปางตั้งแต่เมื่อใด แต่มีการระบุว่า เคยมีชาวอินเดียอาศัยอยู่บริเวณกาดกองต้าในช่วงราวปลายคริสตวรรษที่ 19(ราวพ.ศ.2343-2442)<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a><br /><br />อย่างไรก็ตาม ประเทศอินเดียถือเป็นดินแดนที่แสนกว้างใหญ่ เป็นอนุทวีปทีเดียว ซึ่งภายในประกอบด้วยรัฐต่างๆ เหตุการณ์สำคัญที่กระทบกับการตัดสินใจอพยพของชาวอินเดีย ก็คือ ปัญหาการเมืองภายในอินเดีย ช่วงอาณานิคมอังกฤษปกครอง ตั้งแต่สิ้นราชวงศ์โมกุล สมัยจักรพรรดิบาดูห์ ชาห์ที่2 ในพ.ศ.2400 อังกฤษได้ใช้วิธีคิดการแบ่งแยกและปกครอง (divide and rule) ให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆแตกแยกกันเอง เช่น ชาวฮินดู และชาวมุสลิม ซึ่งแต่ก่อนมาเคยอยู่ร่วมกันในดินแดนเดียวกัน<br /><br />แม้ประเทศอินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2490 ก็ตาม แต่ในปีเดียวกัน ก็เกิดความขัดแย้งในระหว่างพรรคคองเกรสและพรรคสันนิบาตมุสลิม จนต้องการขอแยกประเทศไปเป็นประเทศปากีสถานตะวันตก และตะวันออก(คือ ประเทศบังกลาเทศนั่นเอง) ความสัมพันธ์อันตึงเครียดกลับเลวร้ายลงเมื่อเกิดสงครามระหว่างกันในปัญหารัฐกัศมีร์ หรือแคชเมียร์(Kashmire)<br /><br />ความวุ่นวายและปัญหาดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยตัดสินใจที่ทำให้ชาวอินเดียอพยพมาทำการตั้งถิ่นฐานอยู่ประเทศไทยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในลำปางนั้น อาจจำแนกเป็นชาวอินเดียซิกข์ และชาวอินเดียฮินดู<br /><br /><strong>ชาวอินเดียซิกข์<br /></strong>มีการกล่าวถึงประวัติวัดซิกข์ลำปางที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2476 เพื่อให้เป็นที่สำหรับปฏิบัติธรรม และที่พักสำหรับนักเดินทางชาวอินเดีย โดยนายห้างวารียาม ซิงห์ ซึ่งได้สร้างถวาย พร้อมที่ดินส่วนตัว ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้นครึ่งซีเมนต์ ครึ่งไม้ ในพิธีการทางศาสนา ในวันเปิดนั้นได้มีชาวอินเดียเดินทางมาจากเชียงใหม่มาทางรถไฟมาร่วมเป็นจำนวนมาก<br /><span style="font-size:85%;"><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqV5OLYUDXosLT49ib8pWCNDG9MhJooTn0gKwUxTiaQsj0KdP6uMTRfFHSog6f8IMFrVwUTYZs3JeIS0jZ3IqcSL3Flrt5kEiQ5kreWVUR8JJJKoqQxG0oh1PFMNeZq_JrlB5Vu3mSnQXx/s1600-h/วัà¸à¸à¸´à¸à¸à¹à¸¥à¸³à¸à¸²à¸editsmall.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014908203275278098" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqV5OLYUDXosLT49ib8pWCNDG9MhJooTn0gKwUxTiaQsj0KdP6uMTRfFHSog6f8IMFrVwUTYZs3JeIS0jZ3IqcSL3Flrt5kEiQ5kreWVUR8JJJKoqQxG0oh1PFMNeZq_JrlB5Vu3mSnQXx/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87editsmall.jpg" border="0" /></a><br />วัดซิกข์หลัง เก่า ถนนบุญวาทย์<br /></span><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณสันติ จาวะลา]</span><br /><br />ชาวอินเดียซิกข์ นั้นเดินทางมาจากรัฐปัญจาบ ทางตอนเหนือของอินเดีย ด้วยปัจจัยทางการเมืองดังที่กล่าวมาแล้ว ในกรณีของนายห้างวารียาม ซิงห์ ได้เดินทางมาสยาม ช่วง พ.ศ.2452 ทำการค้า โดยการเปิดร้านขายผ้าชื่อ วีระไทย<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a><br /><br /><br /><div><span style="font-size:85%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdYIy_5tosMYcB7-_c978Bpz2H3nz2gox-p1SwRSu6GUVpKQF-3q0pryR63j7PJIQ5PQojMnDwvfAk-vesJDFYODQyU4leaHbiYLYkoRjLFHTOIIBusFOBCoGstksR-FXypEAtcdQcPyFA/s1600-h/à¹à¸à¹à¸à¸«à¸à¸¸à¹à¸¡à¸­à¸´à¸à¹à¸à¸µà¸¢small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014909465995663186" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdYIy_5tosMYcB7-_c978Bpz2H3nz2gox-p1SwRSu6GUVpKQF-3q0pryR63j7PJIQ5PQojMnDwvfAk-vesJDFYODQyU4leaHbiYLYkoRjLFHTOIIBusFOBCoGstksR-FXypEAtcdQcPyFA/s400/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2small.jpg" border="0" /></a><br />ภาพชาวอินเดียลำปาง</span> </div><div><span style="font-size:78%;">[ที่มา : คุณโมฮัน โซนี่และครอบครัว] </span><br /><br />ส่วนร้านยากัตซิงห์นั้น ก่อตั้งเมื่อพ.ศ.2478 โดยการเช่าตึกของแม่นาค บุปผาเจริญ ถ.ทิพย์ช้าง โดย นายยากัตซิงห์ จาวะลา ที่เดิมย้ายจากอินเดียมาอยู่ที่นครราชสีมา และมามีครอบครัวที่ลำปาง โดยที่พ่อตาเป็นชาวอินเดีย แม่ยายคือ แม่ตุ่นแก้ว มีเชื้อสายทางเจ้าฝ่ายเหนือ ทำการค้าขายส่งผ้าไปที่ต่างๆ ทั้งพะเยา เชียงราย แม่สาย ขณะเดียวกันก็หากำไรจากการสะสมทุนจากการรับแลกเปลี่ยนเงินรูปี(ในกลุ่มพ่อค้าเมืองลำปาง และกลุ่มที่จะใช้เงินรูปีไปซื้อฝิ่นจากยูนนาน)<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a><br /><br />ชาวอินเดียซิกข์ดูจะกระตือรือร้นที่จะแสดงออกความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งในสำนึกเรื่องการพบปะ ช่วยเหลือกันผ่านทาง วัดซิกข์(ซึ่งรวมไปถึงการพบปะกับชาวฮินดูอินเดียด้วย) หรือการแต่งกายตามธรรมเนียมชาวซิกข์ หรือภาษาพูดก็นิยมใช้ภาษาปัญจาบี อันเนื่องมาจากรัฐปัญจาบที่ได้ทำการอพยพมา<br /><br />ส่วนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ กฎ 5 ประการของชาวซิกข์ อันได้แก่<br />1) เกศา หมายถึง ให้ชาวซิกข์ไว้ผมยาวโดยไม่ต้องตัด<br />2) กังฆะ หมายถึง ให้พกหวีติดตัว<br />3) กิรปาน หมายถึง ดาบ<br />4) กัจฉะ หมายถึง กางเกงขาสั้นชั้นใน<br />5) กรา หมายถึง กำไลเหล็ก<br /><br /><span style="font-size:85%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5IzS358rqJj5eYZExkWS7G9B2jgweF3YJvQeg1xKRfmmcL-1xQ7c083lgU05R-zufZzlSzfcO2CtKkjHj4BZU3LQdHaaHaeMXtM6RgkrWEMOnLppT-bpMBIbgU9w9cZvIYSs0gh7tQRzA/s1600-h/วัà¸à¸à¸´à¸à¸à¹à¸¥à¸³à¸à¸²à¸à¹à¸«à¸¡à¹.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014909221182527298" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5IzS358rqJj5eYZExkWS7G9B2jgweF3YJvQeg1xKRfmmcL-1xQ7c083lgU05R-zufZzlSzfcO2CtKkjHj4BZU3LQdHaaHaeMXtM6RgkrWEMOnLppT-bpMBIbgU9w9cZvIYSs0gh7tQRzA/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.jpg" border="0" /></a><br />วัดซิกข์หลังปัจจุบัน ถนนบุญวาทย์<br /></span></div></div><div><div>ปีพ.ศ.2538 ก็ได้มีการก่อสร้างวัดซิกข์ลำปางใหม่บนพื้นที่เดิม<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวอินเดียลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br />อ้างอิงจาก<br />มาร์โก วี.พาเทล.”ประวัติและพัฒนาการของการค้าขายในลำปาง” ใน ลำปางเมื่อห้วงหนึ่งศตวรรษ.ลำปาง : จิตวัฒนาการพิมพ์.2544,หน้า 21<br /><br /><strong>เชิงอรรถ<br /></strong></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;">มาร์โก วี.พาเทล.”ประวัติและพัฒนาการของการค้าขายในลำปาง” ใน ลำปางเมื่อห้วงหนึ่งศตวรรษ.ลำปาง : จิตวัฒนาการพิมพ์.2544,หน้า 21<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> เอกสารอัดสำเนา ประวัติและที่กำเนิดของวัดซิกข์ จังหวัดลำปาง ไม่ทราบปีที่พิมพ์ โดย คุณสันติ จาวะลา<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> สัมภาษณ์ คุณสันติ จาวะลา 12 พฤษภาคม 2548</span></div></div></div></div></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-60565068964954993162006-12-09T23:26:00.000+07:002007-01-01T10:59:44.167+07:00ชาวมุสลิมในลำปาง (2)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUrwp8bTraWEIsGaPpn3dquMQL6F-XpwixTKCfLUdPo3DY9TLEu-ZL8WPqjwRC_Ufi302cOqumDHctpSmKu3tT8cGJDZpdbMthIEHwoP2gjzoLY5q8QWkQGTkVZBKSGfPeAhz9OLAT6O2h/s1600-h/สà¸à¸²à¸à¸­à¸à¸£à¸¡à¸¨à¸µà¸¥à¸à¸£à¸£à¸¡à¸­à¸´à¸ªà¸¥à¸²à¸¡02edit.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014905931237578434" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUrwp8bTraWEIsGaPpn3dquMQL6F-XpwixTKCfLUdPo3DY9TLEu-ZL8WPqjwRC_Ufi302cOqumDHctpSmKu3tT8cGJDZpdbMthIEHwoP2gjzoLY5q8QWkQGTkVZBKSGfPeAhz9OLAT6O2h/s400/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A102edit.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><div><div><span style="font-size:85%;">ภาพหมู่ถ่ายหน้าสถานอบรมศีลธรรม เยาวชนมุสลิมลำปาง ไม่ปรากฏปีที่ถ่าย<br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : มัสยิดอัลฟลาฮฺ]<br /></span></span><br /><strong>การเคลื่อนย้ายเข้าสู่นครลำปาง<br /></strong>ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามีชาวมุสลิมกระจายอยู่ทั่วโลก การเข้ามาของมุสลิมในลำปางจึงไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว ทั้งยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเท่าใดนัก แต่จากบทสัมภาษณ์อาจกล่าวเบื้องต้นได้ว่า ชาวมุสลิมในลำปางรุ่นแรกๆนั้นน่าจะสืบเนื่องมาจาก ปัญหาการเมืองในกลุ่มประเทศอินเดียที่มีการแยกเป็น อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ(และจะมีผลต่อการอพยพมาของชาวอินเดียซิกข์-ฮินดูด้วย)<br /><br />มีการระบุว่า เคยมียามรักษาความปลอดภัยให้แก่คุ้มหลวงเจ้าผู้ครองนครลำปางด้วย(อาจจะมากับฝรั่งอังกฤษที่เป็นทั้งเจ้าอาณานิคมที่อินเดีย และพ่อค้าไม้เจ้าสำคัญในลำปาง) ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับคำบอกเล่าที่ว่า สารถีรถม้ากลุ่มแรกๆนั้นเป็นแขกปาทาน(มุสลิมที่มาจากปากีสถาน-แต่อย่างไรก็ตามมุสลิมหลายท่านเห็นว่า คำว่า แขก นั้นไม่เหมาะสมจะใช้เรียกแทนชาวมุสลิม)<br /><br />มัสยิดหลังแรกก็สร้างบริเวณประตูหัวเวียง ใกล้วัดหัวเวียง(คือวัดเชตวันในปัจจุบัน) ปัจจุบันได้สร้างตึกแถวให้เช่า (เพื่อนำรายได้สมทบกับมัสยิดอัลฟลาฮ)อยู่ใกล้ๆกับร้านกล้วยปิ้งนภา ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ใกล้กับคุ้มหลวงนั่นเอง ขณะที่ชาวมุสลิมประกอบอาชีพเป็นสารถีรถม้าโดยสาร พื้นที่บริเวณบ้านดอนปาน(บริเวณตรงข้ามโรงเรียนอรุโณทัย ปั๊มร้างปัจจุบัน)ก็เป็นอู่รถม้าสำคัญแห่งหนึ่ง<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a> แต่ในเวลาต่อมาอาชีพดังกล่าวก็ตกเป็นของคนพื้นเมืองไปในที่สุด<br /><br />นอกจากนั้นยังมี ชาวมุสลิมจากบังกลาเทศ(เรียกว่า บังกาดี) มุสลิมมลายูจากอยุธยา มุสลิมจากจีน(ที่เรียกกันว่า จีนฮ่อ)<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a> แน่นอนว่าแต่ละแห่งก็มีรายละเอียดชีวิตที่ต่างกันไปอีก ซึ่งไม่สามารถจะเหมารวมได้ว่า มุสลิมลำปางเป็นอย่างได้อย่างตายตัว<br /><span style="font-size:85%;"><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEovACvBTmKcfmpNibCU3Yu1fKmBO9QJPV2ZBzox1tvdCNtt63dvGGQR2rrnrGeYHD4yoxGblHY6leQyn8pwcw4s2JHMgiOaT7jflpoJI-NNlHmf7Uo6ejj5Cco1lXvvxuDKe6WtSKGYDb/s1600-h/DSCF0021.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014906266245027538" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEovACvBTmKcfmpNibCU3Yu1fKmBO9QJPV2ZBzox1tvdCNtt63dvGGQR2rrnrGeYHD4yoxGblHY6leQyn8pwcw4s2JHMgiOaT7jflpoJI-NNlHmf7Uo6ejj5Cco1lXvvxuDKe6WtSKGYDb/s400/DSCF0021.JPG" border="0" /></a><br />ห้องเรียนศาสนา บริเวณมัสยิดอัลฟลาฮฺ<br /></span><strong><br />ตำแหน่งแห่งหนของพี่น้องมุสลิมลำปาง</strong><br />มัสยิด คือ สถานที่ที่มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจร่วมกัน เช่น การละหมาด ซึ่งตามตัวอักษรแปลว่า สถานที่ก้มกราบต่อพระเจ้าในอิสลาม นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์กลางของชุมชน เพื่อเป็นสถานที่ประชุม เพื่อกิจกรรมทางศาสนาการศึกษาและสังคม ในลำปางก็ได้แก่ มัสยิดอัลฟลาฮ ตรงข้ามกับวัดศรีชุม ต.หัวเวียง และแห่งที่สอง คือ สุเหร่าแดง บริเวณหลังวัดพระเจ้าทันใจ ต.บ่อแฮ้ว บริเวณสุสานมุสลิม ที่เรียกกันว่า กุโบร์ ตั้งอยู่บริเวณข้างสำนักงานประปาส่วนภูมิภาค ลำปาง ตรงข้ามวัดป่ารวก<br /><br />ย่านที่อยู่อาศัยของมุสลิมลำปาง มักจะสอดคล้องกับอาชีพการเลี้ยงสัตว์อันได้แก่ วัว แพะ ที่ต้องอาศัยบริเวณพอสมควร ดังปรากฏพื้นที่ใหญ่ได้แก่บริเวณ ปงแขก บ้านวังหม้อ ต.ต้นธงชัย ริมแม่น้ำวังที่มีการเลี้ยงวัวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งนี้ยังมีบริเวณหมู่บ้านสุขสวัสดิ์ ต.พระบาท บริเวณแยกเพ็ญทรัพย์ ต.สบตุ๋ย บริเวณทางขึ้นวัดม่อนพระยาแช่<br /><br />ย่านอาหารการกินของมุสลิมลำปาง ผู้เรียบเรียงเคยรู้จักกับน้องนักศึกษาชาวมุสลิมท่านหนึ่ง ได้พาไปทาน ข้าวซอยอิสลาม ตีนสะพานรัษฎาภิเศก ฝั่งตำบลเวียงเหนือ ซึ่งข้าวซอยนับเป็นอาหารของชาวจีนฮ่อ(ซึ่งมีทั้งที่เป็นจีนมุสลิมและไม่ใช่จีนมุสลิม) ที่เข้ามาผสมผสานกับวิถีชีวิตคนพื้นเมือง จนกลายเป็นความเข้าใจผิดไปว่า เป็นอาหารพื้นเมืองของคนเหนือไปเสี เอาเข้าจริงแล้ววัฒนธรรมที่ปรากฏขึ้น เกิดจากการแลกเปลี่ยนถ่ายเทดังกล่าวนั่นเอง<br /><br />นอกจากร้านข้าวซอยอิสลามแล้ว ร้านอาหารอิสลามในลำปาง ที่ได้รับการแนะนำในเว็บไซต์ <a href="http://www.halalthailand.com/">http://www.halalthailand.com/</a> ที่ตั้งอยู่ใกล้กับมัสยิดอัลฟลาฮ ได้แก่ 1)ร้านอิรฟาน เมนูแนะนำคือ ก๋วยเตี๋ยว 2)จ๋ารีย๊ะ(ปักษ์ใต้) เมนูแนะนำคือ ข้าวหมกไก่และอาหารจานเดียว 3)ร้านอาหารมุสลิม เมนูแนะนำคือ ส้มตำ น้ำตก นอกจากนั้นยังมีร้านอื่นๆอีกได้แก่ ร้านข้าวหมกไก่อิสลาม บริเวณสี่แยกโรงฆ่าสัตว์ หรือโรตีที่หาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะบริเวณหน้าเซเว่นอีเลเว่น สาขาตลาดอัศวิน<br /><span style="font-size:85%;"><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijx-LDUH300P4SUStzTDxyCDogeo_NVW1kyDt-xYtfxkcyZYpiEOZ5Wja7-n5xQGznWfhJN_ufqGUMg-bsh5frA_Zi4162C-xDf35-PRs9sgMLmL5O8DSU7cCjLCio56lh4AWVPDjj667t/s1600-h/DSCF0018.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014906523943065314" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijx-LDUH300P4SUStzTDxyCDogeo_NVW1kyDt-xYtfxkcyZYpiEOZ5Wja7-n5xQGznWfhJN_ufqGUMg-bsh5frA_Zi4162C-xDf35-PRs9sgMLmL5O8DSU7cCjLCio56lh4AWVPDjj667t/s400/DSCF0018.JPG" border="0" /></a><br />กุโบร์ ข้างสำนักงานประปาภูมิภาค ต.หัวเวียง</span><br /><br />การปะติดปะต่อข้อมูลดังกล่าวทำขึ้นด้วยระยะเวลาอันจำกัด ซึ่งยังไม่ครบเครื่องและไม่รอบด้านเท่าที่ควร แต่ผู้เรียบเรียงเชื่อว่าน่าจะเป็นก้าวสั้นๆที่ชวนให้ชาวลำปาง พี่น้องชาวมุสลิมร่วมกันระบุความเป็นมาของตนเองร่วมกันในวันข้างหน้า ข้าพเจ้าหวังเช่นนั้น.<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวมุสลิมลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.</span><br /><br /><span style="font-size:85%;"><strong>อ้างอิงจาก</strong><br />สัมภาษณ์ ไพฑูรย์ ยอมาดา ชาวมุสลิมลำปาง วันที่ 10 พฤษภาคม 2548 ณ มัสยิดอัลฟลาฮ ศรีชุม ต.หัวเวียง อ.เมือง ลำปาง<br />เว็บไซต์ </span><a href="http://www.halalthailand.com/"><span style="font-size:85%;">www.halalthailand.com</span></a><br /><span style="font-size:85%;"><br /><strong>เชิงอรรถ</strong><br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> สัมภาษณ์ ไพฑูรย์ ยอมาดา ชาวมุสลิมลำปาง วันที่ 10 พฤษภาคม 2548 ณ มัสยิดอัลฟลาฮ ศรีชุม ต.หัวเวียง อ.เมือง ลำปาง<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> สัมภาษณ์ ไพฑูรย์ ยอมาดา,อ้างแล้ว</span></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5812763775450622383.post-39619088209038782332006-12-09T23:18:00.000+07:002007-01-01T10:54:08.919+07:00ชาวมุสลิมในลำปาง (1)<div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfIDPyB3bVgMhopov0B7Yz9R2pZ4RTrZWTjcrXMQK7S0df4njezIgMHHhPaJG4g1uEhhaO9oJmb7pCrt8g7r2CY519vka2GxSk2PXE1MahuurGrtX0zcpAFJJHP_gUjfsxTW8c8Pi6o_XF/s1600-h/à¸à¹à¸²à¸¢à¸«à¸¡à¸¹à¹à¸«à¸à¹à¸²à¸¡à¸±à¸ªà¸¢à¸´à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014904445178893970" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfIDPyB3bVgMhopov0B7Yz9R2pZ4RTrZWTjcrXMQK7S0df4njezIgMHHhPaJG4g1uEhhaO9oJmb7pCrt8g7r2CY519vka2GxSk2PXE1MahuurGrtX0zcpAFJJHP_gUjfsxTW8c8Pi6o_XF/s400/%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%94.jpg" border="0" /></a><br /><div><div><div><span style="font-size:85%;">ภาพหมู่ถ่ายหน้ามัสยิดอัลฟลาฮ ไม่ทราบปีที่ถ่าย</span><br /><span style="font-size:78%;">[ที่มา : มัสยิดอัลฟลาฮฺ]<br /></span><br />อิสลาม มีรากศัพท์ คือ สิลมฺ และ สลาม ซึ่งหมายถึง สันติภาพ<a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn1" name="_ednref1">[1]</a> ขณะที่มุสลิม แปลว่าผู้ที่ยอมจำนวนต่อพระอัลลอฮ์ ว่ากันว่าศาสนาอิสลามและวิถีปฏิบัติของมุสลิมนั้นแทบจะแยกจากกันไม่ออก ฉะนั้นการที่จะทำความรู้ความเข้าใจพี่น้องมุสลิมลำปางก็คงต้องไม่ละเลยความละเอียดอ่อนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน แม้ ศาสนาอิสลาม จะถือกำเนิดในบริเวณตะวันออกกลาง โดยมีท่านนบีมุฮัมมัด เป็นพระศาสดา แต่ก็มีมุสลิมที่รับความเชื่อดังกล่าวกระจายอยู่ทั่วโลก<br /><br />ขณะที่พุทธศาสนานับปฏิทิน เริ่มต้นพุทธศักราชที่ 1 เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แต่ศาสนาอิสลามนับตั้งแต่ การอพยพ(ฮิจญ์เราะห์)จาก มักกะฮ์ เมื่อ พ.ศ.1165<a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn2" name="_ednref2">[2]</a> ศาสนาอิสลาม เคยเป็นแหล่งความรู้อันยิ่งใหญ่สาขาหนึ่งของโลก(ที่ได้รับการสืบทอดจากอารยธรรมเก่าแก่ของโลกและประยุกต์มาเป็นของตนเอง)<br /><br />ตัวอย่างสำคัญก็คือ เลขอารบิค วิชาคณิตศาสตร์ วิชาดาราศาสตร์ วิชาคำนวณต่างๆ วิชาสถาปัตยกรรม(ล่าสุดมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาร์คโค้งในงานสถาปัตยกรรมไทยนั้น น่าจะได้เทคโนโลยีจากมุสลิมที่มีบทบาทในราชสำนักอยุธยา มากกว่าจะมาจากฝรั่งเศสด้วยซ้ำ) ทำให้ศาสนาอิสลามมีระบบความคิด ความเชื่อเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง แต่ในปัจจุบันศาสนาอิสลามถูกมองด้วยอคติหลายๆชั้น จนอาจกลายเป็นกำแพงสร้างความเข้าใจผิดระหว่างกันได้<br /><br />หากไม่นับอาณาจักรปัตตานีแล้ว ชาวมุสลิมได้เข้ามาสยามประเทศตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มีการค้นพบหลักฐานติดต่อจาก พระเจ้าไซนูล อาบีดีน แห่งประเทศแคชมีร์<a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn3" name="_ednref3">[3]</a> แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดถึงการเข้ามาของมุสลิมกับล้านนาประเทศ(แน่นอนว่าการติดต่อกับวัฒนธรรมอิสลามก็นำความเปลี่ยนทางศิลปะและเทคโนโลยีสำคัญให้แก่กรุงศรีอยุธยาด้วย ซึ่งความมั่งคั่งรุ่มรวยนี้เองอาจเป็นสิ่งที่ล้านนาประเทศขาดไป)<br /><br /><span style="font-size:85%;"><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_uTv7Zyd6KXovri1IuUMd14xEiutXWe7GLQau6twGZ6soOKUMHYBPqg93dGhubMI37Aj2rdw4Zzt2lmhUipVtRnMHHhxRzX8e8qmtd_YmLqc6IzYR8fVwo15e9bM2tAbZnQIzOiwfBssv/s1600-h/มัสยิà¸à¸­à¸±à¸¥à¸à¸¥à¸²à¸®à¸º.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5014905119488759474" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_uTv7Zyd6KXovri1IuUMd14xEiutXWe7GLQau6twGZ6soOKUMHYBPqg93dGhubMI37Aj2rdw4Zzt2lmhUipVtRnMHHhxRzX8e8qmtd_YmLqc6IzYR8fVwo15e9bM2tAbZnQIzOiwfBssv/s400/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%BA.jpg" border="0" /></a><br />มัสยิดอัลฟลาฮฺ หน้าวัดศรีชุม ต.หัวเวียง อ.เมือง ลำปาง</span><br /><br /><strong>วิถีชีวิตมุสลิม</strong><br />การจะทำความรู้จักในเชิงลึกต้องใช้เวลา ในที่นี้จึงขอปูพื้นฐานให้ทราบถึงหลัก ก่อนจะเข้าถึงโลกมุสลิมในแง่มุมอื่นๆ<br />หลักอิสลาม 5 ประการ<a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn4" name="_ednref4">[4]</a> คือ<br />1)การปฏิญานตนว่า ข้าขอปฏิญาณตนว่า จะไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และนบีมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์<br />2)การละหมาด วันละ 5 เวลา อันถือเป็นเสาหลักของศาสนา<br />3)การถือศีลอด ถือเป็นการเว้นการกิน ดื่ม มีเพศสัมพันธ์ เว้นกระทำสิ่งต้องห้าม และไร้สาระ ตั้งแต่อรุณรุ่งจนตะวันลับขอบฟ้า<br />4)การจ่ายซะกาต การบริจาคเงินภาคบังคับ 2.5%ของเงินออม<br />5)การไปทำฮัจญ์ ที่มักกะฮ์(เมกกะ)ประเทศซาอุดิอาระเบีย<br /><br />หลักศรัทธา 6 ประการ<a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn5" name="_ednref5">[5]</a> คือ<br />1)ศรัทธาว่าอัลลอฮ์ เป็นพระเจ้า<br />2)ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์(ทูตของพระองค์)<br />3)ศรัทธาในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ได้แก่ คัมภีร์อัลกุรอ่าน<br />4)ศรัทธาในบรรดารอซูล(ผู้รับสารผู้รับคำสั่ง)<br />5)ศรัทธาในวันสิ้นโลก(อาคิเราะฮ์)<br />6)ศรัทธาในกฏการกำหนดสภาวการณ์<br /><br />การแต่งกาย<a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn6" name="_ednref6">[6]</a> มีมาตรฐาน สำหรับฮิญาบ คือ<br />1)เอาเราะฮ หรือขอบเขตของร่ายกาย(เฉพาะผู้หญิงข้อแรก หลังจากนี้รวมไปถึงทั้งหญิงและชาย)<br />2)ชุดที่สวมใส่ต้องหลวมและต้องไม่เปิดเผยให้เห็นรูปร่าง<br />3)ชุดที่สวมใส่ต้องไม่บางเบาจนมองทะลุผ่านได้<br />4)ชุดที่สวมใส่ต้องไม่งามหรือมีเสน่ห์จนเป็นที่ดึงดูดใจเพศตรงข้าม<br />5)ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับเพศตรงข้าม<br />6)ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของผู้ปฏิเสธ พวกเขาจะต้องไม่สวมชุดเอกลักษณ์เฉพาะ หรือสัญลักษณ์ในศาสนาของบรรดาผู้ปฏิเสธ(ศาสนาอิสลาม-ผู้เรียบเรียง)<br /><br />อาหารการกิน<a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn7" name="_ednref7">[7]</a> มีสิ่งต้องห้ามหลายประการ ได้แก่<br />1)สิ่งมึนเมา หรือสิ่งที่ทำให้ขาดสติทุกชนิด<br />2)เนื้อหมู<br />3)เลือด<br />4)เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติ<br />5)เนื้อของสัตว์ที่ถูกทุบตาย ถูกรัดคอ หรือตกจากที่สูงตาย<br />6)เนื้อของสัตว์ที่ใช้กรงเล็บหรือเขี้ยวจับสัตว์กินเป็นอาหาร<br />7)เนื้อของสัตว์ที่ถูกสัตว์แทะ หรือฉีกกิน<br />8)เนื้อสัตว์หรืออาหารที่ใช้บูชาผีสาง หรือเทพเจ้าอื่นๆ<br />9)เนื้อสัตว์ที่ถูกเชือดโดยมิได้กล่าวนามของอัลลอฮ์ ดังนั้นอาหารฮาลาล ที่มีความหมายว่า อาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งอนุมัติ ตามบัญญัติตามศาสนาอิสลามให้มุสลิมบริโภคหรือใช้ประโยชน์ได้ จึงถือเป็นความสะดวกหนึ่งของพี่น้องมุสลิมที่จะเลือกบริโภคได้ด้วยความสบายใจ<br /><br />ระบบธนาคารอิสลาม<a title="" style="mso-endnote-id: edn8" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_edn8" name="_ednref8">[8]</a> ที่เกี่ยวเนื่องกับวิธีปฏิบัติของชาวมุสิลม ซึ่งมีหลักการดังนี้<br />1)ดอกเบี้ยจะกีดกันไม่ให้ได้รับความจำเริญจากอัลลอฮ<br />2)ประณามดอกเบี้ยว่า เป็นสิ่งที่พรากเอาไปจากทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างไม่ถูกต้อง<br />3)ให้มุสลิมอยู่ห่างจากดอกเบี้ยเพื่อประโยชน์แห่งความดีของตัวเอง<br />4)ให้ความหมายที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยและการค้า<br />5)สนับสนุนให้มุสลิมเอาเฉพาะเงินต้นคืน อีกทั้งให้ยกหนี้หากลูกหนี้ไม่สามารถใช้หนี้อย่างแท้จริง<br /><br />อย่างไรก็ตาม ผู้เรียบเรียงใช้ข้อมูลจากอินเตอร์เนตเสียมาก ฉะนั้นความรู้เบื้องต้นดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงข้อมูลตั้งต้น กราบขออภัยพี่น้องชาวมุสลิม หากมีการคลาดเคลื่อนโดยสาระ ในครั้งหน้า จะเน้นไปที่การอธิบายถึงความเป็นมา และชีวิตมุสลิมในลำปางต่อไป เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของพวกเราชาวลำปาง.<br /><br /><span style="font-size:85%;">*เรียบเรียงจาก<br />ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์,ชาวมุสลิมลำปาง ใน ฮู้คิง…ฮู้คนลำปาง,ลำปาง : บรรณกิจการพิมพ์.2548.<br /><br />อ้างอิงจาก<br /></span><a name="_Hlt126903334"><span style="font-size:85%;">1. เว็บไซต์ </span></a><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><br /><span style="font-size:85%;">2. อ้างอิงจาก อาจารย์บรรจง บินกาซัน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.thaimuslimshop.com"><span style="font-size:85%;">http://www.thaimuslimshop.com</span></a><span style="font-size:85%;"><strong></strong></span><br /><span style="font-size:85%;"><strong><br />เชิงอรรถ<br /></strong></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn1" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref1" name="_edn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> 3 ประเด็นพื้นฐานที่ต้องรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn2" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref2" name="_edn2"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn3" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref3" name="_edn3"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> ความเป็นมาของอิสลามในประเทศไทย ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn4" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref4" name="_edn4"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn5" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref5" name="_edn5"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn6" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref6" name="_edn6"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn7" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref7" name="_edn7"><span style="font-size:85%;">[7]</span></a><span style="font-size:85%;"> ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549<br /></span><a title="" style="mso-endnote-id: edn8" href="http://beta.blogger.com/post-create.g?blogID=5812763775450622383#_ednref8" name="_edn8"><span style="font-size:85%;">[8]</span></a><span style="font-size:85%;"> ใน เว็บไซต์ </span><a href="http://www.muslimthai.com/"><span style="font-size:85%;">http://www.muslimthai.com</span></a><span style="font-size:85%;"> วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549</span></div></div></div></div></div>warmrawhttp://www.blogger.com/profile/12610843061383397004noreply@blogger.com1